วัชรบูล ลี้สุวรรณ "ผมแค่ปกป้องสิ่งที่รัก"

วัชรบูล ลี้สุวรรณ
"ผมแค่ปกป้องสิ่งที่รัก"

บทบาทนี้ไม่ต้องมีใครมากำกับ เขาเลือกที่จะเขียนบทและแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาด้วยหัวใจของคนรักษ์(สัตว์)ป่า

รอยเท้าที่ก้าวเดินไปตามเส้นทางสายอนุรักษ์ทำให้นักแสดงหนุ่มคนนี้อยู่ในโฟกัสของสื่อนอกสายบันเทิงมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อเขาได้เดินเท้าร่วมขบวนไปกับนักวิชาการผู้ปลุกกระแสการคัดค้าน EHIA เขื่อนแม่วงก์ ...คำถามถึงมุมมองความคิดของคนหนุ่มกับสองบทบาทที่เหมือนจะอยู่กันคนละเส้นทาง ระหว่างวิถีของนักแสดงกับนักอนุรักษ์ เชื้อเชิญให้ "จุดประกาย" นัดหมายกับเขาในตอนสายวันหนึ่ง หลังภารกิจการเดินทางไกลสิ้นสุดลงแล้ว

'โน๊ต' วัชรบูล ลี้สุวรรณ สำหรับแฟนละครช่อง 7 อาจคุ้นหน้าคุ้นตากันดี แต่กับคนในแวดวงศิลปวัฒนธรรมนามสกุลนี้น่าจะยังเป็นที่จดจำ เพราะเขาเป็นบุตรชายของ อ.วิบูลย์ ลี้สุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมคนหนึ่งของเมืองไทย แต่ถ้าสนใจเรื่องราวของสิ่งแวดล้อม น่าจะมีโอกาสได้เห็นหนุ่มคนนี้ไปร่วมกิจกรรมรณรงค์หลายต่อหลายเรื่อง

เขาบอกว่า ความสนใจเรื่องป่าไม้และสัตว์ป่าเริ่มตั้งแต่ยังเด็กจากการปลูกฝังของครอบครัว แม้จะเรียบจบมาทางด้านสถาปัตยกรรมและก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงหลังจากนั้น แต่ความรักในธรรมชาติและการถ่ายภาพก็ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ออกเดินทางไปสัมผัสกับธรรมชาติป่าเขาอยู่เสมอ "ยิ่งรู้ก็ยิ่งรักษ์" ยิ่งมีข้อมูลก็ยิ่งผลักดันให้เขาเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยมีนักอนุรักษ์ผู้เป็นตำนานอย่าง สืบ นาคะเสถียร เป็นต้นแบบที่อยู่ในใจเสมอมา

-ทำไมถึงได้มาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่า

ผมสนใจมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ อาจเป็นเพราะว่าผมเกิดมาในยุคซึ่งประเทศไทยเรายังมีคุณสืบ นาคะเสถียร เป็นฮีโร่ และผมก็เห็นภาพการทำงานของคุณสืบ เห็นภาพตอนที่ท่านไปช่วยอพยพสัตว์ป่าที่เขื่อนเชี่ยวหลานที่สุราษฎร์ธานี เห็นภาพที่ท่านค้านเขื่อนน้ำโจน จนสุดท้ายมารู้เรื่องเศร้าๆ ของท่านที่เสียสละชีวิตตัวเองเพื่อพยายามปกป้องผืนป่า มันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจแรกๆ คือจริงๆ แล้วการอนุรักษ์มันเริ่มตั้งแต่ตอนเด็กๆ แต่ช่วงเรียนก็ยังไม่ได้สนใจทำอะไรกับมันมาก จนพอมาเป็นดาราเริ่มมีเวลาว่างเริ่มมีรายได้เป็นของตัวเองก็หันมาสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง เริ่มเข้าป่า หาเวลาว่างไปเที่ยวป่า ไปเดินป่า ไปถ่ายรูปในป่า เริ่มหัดดูนก มันก็ค่อยๆ ซึมซับเข้ามาเอง

-ครอบครัวมีส่วนปลูกฝังเรื่องพวกนี้หรือเปล่า

มีครับ คุณพ่อผมสอนเสมอว่า วันหนึ่งเมื่อเรามีถึงจุดจุดหนึ่งแล้ว เราก็ควรจะมอบอะไรบางอย่างคืนให้สังคมบ้าง เรื่องการอนุรักษ์ ความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ผมพยายามจะช่วยสังคมในวิถีทางของผม แล้วตอนเด็กๆ คุณพ่อจะปลูกฝังเรื่องของการอ่านหนังสือ เรื่องของคุณสืบ เรื่องการอนุรักษ์ เรื่องอะไรเหล่านี้ผมรับมาจากหนังสือ ซึ่งคุณพ่อซื้อมาให้อ่านตั้งแต่เด็ก นิตยสารสารคดี เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกอะไรพวกนี้ ผมดูตั้งแต่เด็กแล้วก็ชอบเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น

-จริงๆ เรียนจบมาทางด้านไหนคะ

ผมจบภูมิสถาปัตย์ที่จุฬาฯครับ ก็อาจจะมีส่วนด้วยนิดหน่อยเพราะว่าต้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องต้นไม้ เกี่ยวกับป่า เกี่ยวกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม อาจจะมีผลบ้างนิดหน่อย แต่ตอนหลังๆ ที่เริ่มมาสนใจการอนุรักษ์จริงๆ ก็คือหลังจากที่เข้าไปเดินป่า ได้สัมผัสชีวิตของผู้พิทักษ์ป่าเข้าไปเห็นชีวิตสัตว์ป่า มันเริ่มรู้สึกว่าเราอยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อพวกเขา ทั้งสัตว์ ทั้งคนที่อยู่ในป่านั่นแหละครับ

-ดูเหมือนว่าจะมีคุณสืบเป็นไอดอล?

ใช่ครับ ผมไม่คิดว่าชีวิตของคนคนหนึ่ง ข้าราชการตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องสิ่งที่ ณ เวลานั้นคนยังไม่เห็นคุณค่า คุณสืบเป็นคนมีวิสัยทัศน์มาก คุณสืบมองทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรสัตว์ป่า ตั้งแต่ช่วงเวลาที่คนยังทำสัมปทานป่าไม้อยู่ คุณสืบมองว่าเป็นทรัพยากรที่เราต้องเก็บไว้ให้ลูกหลาน มันมีคุณค่า เหมือนเป็นแหล่งพันธุกรรมที่เราต้องเก็บไว้ในอนาคต มันเป็นสิ่งซึ่งปัจจุบันเพิ่งจะมาเห็นค่ากัน ผมว่าคุณสืบเป็นคนที่ทำงานหนักมาก เป็นคนที่ทำงานวันหนึ่งเกือบจะ 24 ชั่วโมง เวลาผมไปห้วยขาแข้ง นักวิจัยที่อายุเยอะๆ หน่อยก็จะเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนรุ่นคุณสืบอยู่ ทำงานที่ห้วยขาแข้งเสร็จทุกวัน มีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ต้องขับรถออกไป ถนนตอนนั้นยังเป็นดินลูกรังไม่ดีแบบปัจจุบัน คุณสืบจะขับรถไปสอนหนังสือให้เด็กๆ ในโรงเรียนแถวนั้นทุกโรงเรียน คือมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ต้องไป นั่นแหละคือคนที่ทำงานทุ่มเทให้กับการอนุรักษ์จริงๆ

-แต่ไม่ได้คิดจะเดินตามรอยคุณสืบถึงขั้นเป็นนักอนุรักษ์เต็มตัวอะไรทำนองนั้น?

คือผมว่างานพวกนี้ผมทำเป็นงานอดิเรกมากกว่า ในการถ่ายภาพมันเป็นสิ่งที่ผมรัก เป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำ เป็นสิ่งที่ผมอยากจะให้ภาพเหล่านี้มาช่วยเหลือสังคม มาช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ผมทำเท่าที่ผมทำได้ ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ผมถือว่าที่ผมทำทั้งหมด ที่พยายามมาเล่า พยายามมาพูด ผมไม่อยากให้การเสียสละของคุณสืบมันสูญเปล่า 23 ปีบางทีเด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จักว่าคุณสืบ นาคะเสถียร เป็นใคร ผมก็พยายามจะสืบทอดเจตนารมณ์เท่าที่จะทำได้

-ที่ผ่านมาเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ได้อย่างไร เท่าที่ทราบก็มีเรื่องการอนุรักษ์ช้างแล้วก็ Fin Free

แรกๆ มันเริ่มจากการที่ผมไปเที่ยวป่า ผมไปเจอเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าแล้วก็ไปคุยกับเขาว่าเดือดร้อนเรื่องอะไร ขาดแคลนเรื่องอะไร ตอนหลังๆ ก็ชวนเพื่อนๆ รวบรวมเงินไปให้เขาบ้าง หรือว่าซื้ออุปกรณ์ ซื้อข้าวของจำเป็นที่เขาขาดเหลือ เราก็ซื้อไปให้เขา แล้วพอหลังๆ มาเริ่มรู้จักเพื่อนๆ มากขึ้น ก็มีโครงการหลายอย่างที่ร่วมกันรณรงค์ เช่น ต่อต้านการค้างาช้างร่วมกับ WWF จริงๆ เขาเชิญผมไปเป็นพรีเซนเตอร์โครงการนี้ แล้วก็ช่วยรณรงค์กันมาตลอดแหละครับ แล้วก็มี Fin Free คือเรื่องกินหูฉลาม แล้วผมกับเพื่อนๆ ก็มีกลุ่ม เป็นกลุ่มอนุรักษ์เล็กๆ ชื่อ A Call For Animal Right แต่ส่วนใหญ่เพื่อนผมทำมากกว่าผมนะ ผมช่วยนิดๆ หน่อยๆ เอง

-เท่าที่ติดตามระหว่างช้าง เสือ และฉลาม อะไรอยู่ในภาวะวิกฤติมากกว่ากัน

ถ้าพูดแบบแฟร์ๆ เลยนะสัตว์ทุกชนิดในโลกนี้วิกฤติเหมือนกันหมด แย่เหมือนกันหมด แต่ว่าที่ทุกคนพยายามจะรักษาไว้ อย่างตัวผมเอง ผมมองเสือ เพราะว่าเสือมันเป็นสปีชีส์ที่เป็นสายพันธุ์หลัก ถ้าเราสามารถอนุรักษ์เสือเอาไว้ได้ เอาก็สามารถอนุรักษ์สัตว์ทุกอย่างได้ อีกอย่างเสือมันต้องใช้พื้นที่เยอะ มันต้องมี เก้ง กวาง มีกระทิง วัวแดง ซึ่งต้องอยู่ในระบบนิเวศครบมันถึงจะอยู่รอด ถ้าเราอนุรักษ์เสือได้มันก็เหมือนกับว่าเราอนุรักษ์ชนิดอื่นได้ แต่ช้างก็สำคัญ จริงๆ แล้วสำคัญทั้งหมดแหละ

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการสื่อสารกับคนทั่วไป ผมว่าหูฉลามพอคุยกันได้ง่ายหน่อย ตอนนี้โรงแรมหลายโรงแรมก็เริ่มเลิกขายหูฉลามแล้ว หูฉลามไม่มีประโยชน์ เหมือนกินวุ้นที่ไม่มีสารอาหารอะไรเลย น่าสงสารออก เวลาคุณไปดำน้ำ คุณอยากเห็นฉลามวาฬ คุณจะคิดยังไงเวลาฉลามวาฬมันโดนตัดครีบแล้วโยนทิ้งลงทะเล มีเลือดไหล มันจมน้ำตายใต้ทะเล เรื่องนี้มันมีข้อมูล พอคุยกันได้ แล้วเราก็สามารถแชร์กันทางเฟซบุ๊ค สามารถเล่าความจริงได้ว่า หูฉลามมันไม่มีประโยชน์ยังไง มันมีโทษยังไง

-แสดงว่าเพื่อนนักแสดงก็สนใจเรื่องพวกนี้เหมือนกัน?

สนใจครับ เพียงแค่ว่าอาจไม่มีเวลามาดูแลมาใส่ใจ คือไม่มีเวลาที่จะมาทำกิจกรรมมากกว่า แต่ผมว่าลึกๆ สนใจ เวลาผมไปทำกิจกรรมอะไรพวกนี้ เพื่อนก็บอกคราวหน้าไปด้วยสิ อะไรแบบนี้

-หลังๆ ก็เห็นนักแสดงบ้านเราออกมามีบทบาทในการรณรงค์เรื่องสังคมสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น?

ผมว่ามันเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งนะ ในฐานะนักแสดงเราได้อะไรจากสังคม ได้อะไรจากประชาชนเยอะ มันก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่เราจะตอบแทนกลับไปบ้างในการที่จะทำให้สังคมเราดีขึ้น

-โดยส่วนตัวทำไมถึงเลือกให้ความสำคัญกับประเด็นสัตว์ป่ามากกว่าอย่างอื่น?

ผมมองว่าสัตว์ป่ามันก็มีชีวิตของมัน มีความรัก มีความผูกพันระหว่างแม่กับลูก มีหัวใจเหมือนกับเรา เพียงแค่ว่ามันอ่อนด้อยกว่าเรา มันพูดไม่ได้ สื่อสารกับเราไม่รู้เรื่อง ไม่มีสิทธิไม่มีเสียง มันไม่สามารถทำอะไรเพื่อปกป้องตัวเองได้ แล้วมันก็เกิดมาก่อนเรา ดีไม่ดีบางสายพันธุ์เกิดมาก่อนมนุษย์ด้วยซ้ำ มันก็มีสิทธิที่จะอยู่ในโลกใบนี้ได้ ผมคิดแค่นั้นแหละครับ คือไม่ใช่ว่าไม่ดูมนุษย์เลย ที่ผ่านมาเราเบียดเบียนพวกมันพอแล้ว ถึงจุดที่ว่ามันก็เหลืออยู่แค่นี้ เอาง่ายๆ อย่างเสือ แต่ก่อนทั้งโลกมีเป็นแสนตัว ตอนนี้เหลือสามพันตัว แล้วพื้นที่ที่มันอยู่อาศัย แต่ก่อนมีอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้เหลือแค่ห้าเปอร์เซ็นต์ คือมันถูกบีบจนถึงขั้นวิกฤติแล้ว เราเป็นมนุษย์ซึ่งเหนือกว่าทุกอย่าง ก็แค่อนุรักษ์ที่เหลืออยู่เล็กน้อยให้มันอยู่ต่อไปได้ไหม แค่นั้นเอง

-ทราบมาว่าชอบถ่ายภาพสัตว์ป่าด้วย มีภาพประทับใจไหมคะ

เป็นภาพเสือครับ น่าจะเป็นพี่น้องกันวิ่งเล่นกันอยู่ ซึ่งไม่คิดว่าจะเจอ ผมไปห้วยขาแข้งก็หลายครั้ง แต่ครั้งนั้นเหมือนเจ้าป่าเจ้าเขาประทานให้ผม ความรู้สึกตอนนั้นดีใจประมาณเอ็นท์ติด ดีใจมาก ดีใจจริงๆ ว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นเสือในธรรมชาติ แล้วก็เห็นในอิริยาบถซึ่งมันเป็นแบบเล่นกันอย่างสนุกสนานอะไรอย่างนี้ อันนั้นคือประทับใจมากที่สุด ผมก็เลยเกิดความรู้สึกว่า ป่ามันคือบ้านของเสือนะ เราควรช่วยปกป้องรักษามันไว้ มีอยู่ยุคหนึ่งเสือมันแทบจะสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย แต่ด้วยความสามารถของเจ้าหน้าที่ ด้วยความสามารถของนักวิจัย ด้วยความพยายามของคนหลายๆ คน เราช่วยกันอนุรักษ์จนมันเริ่มกลับมา มีประชากรมากขึ้น มีสายพันธุ์ซึ่งแข็งแรงมากขึ้น ก็ควรจะช่วยกันอนุรักษ์ต่อไป

เวลาผมเข้าป่าผมก็อยากจะเอาภาพพวกนี้มาเป็นหลักฐานยืนยันว่าประเทศไทยของเรามีสัตว์ป่า มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์อยู่ ถึงแม้ว่าจะมีไม่เยอะแต่เราก็ทำการอนุรักษ์มาดีได้ระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของคนในสังคมนี่แหละ เมื่อเห็นภาพพวกนี้ต้องช่วยกันต่อไปด้วยการอนุรักษ์ ช่วยกันเก็บสิ่งที่มีค่าเหล่านี้ต่อไป

-เพราะจุดนี้ด้วยหรือเปล่าเลยทำให้ตัดสินใจไปร่วมเดินรณรงค์กับอาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ กรณีเขื่อนแม่วงก์

คือจริงๆ แล้วที่ผมไปร่วมเดินรณรงค์ เป็นความรู้สึกส่วนตัวเพียวๆ เลย เพราะว่าผมรู้จักกับอาจารย์ศศิน จากการที่เราไปร่วมงานรำลึกคุณสืบ นาคะเสถียร ที่ห้วยขาแข้งทุกวันที่ 1 กันยายน แล้วก็ได้คุยกันบ้างนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้สนิทสนมเป็นพิเศษ แต่ก็ห่วงใยในปัญหานี้ด้วยเหมือนกัน แล้วพอเห็นอาจารย์ศศินไปเดิน ความรู้สึกลึกๆ ก็คือเราอยากปกป้องผืนป่า อยากอนุรักษ์ป่าไม้ อนุรักษ์สัตว์ป่าให้มันเหลือในประเทศไทยให้ได้ ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยก็คงจะไม่เกิดประโยชน์อะไร อย่างน้อยต่อไปจะได้ไม่รู้สึกผิดในใจว่า ทำไมตอนนั้นอยากจะรักษาป่าไว้แล้วคุณไม่ทำอะไรเลย ก็เลยตัดสินใจว่าต้องไปเดิน

-เคยเข้าไปในผืนป่าแม่วงก์มาก่อนหรือเปล่า

ผมเคยไป คือที่คุยกันทั้งหมดมันเป็นเรื่องของความรู้สึกในใจผมล้วนๆ เลยว่า ผมรู้สึกผิดในใจตัวเอง ถ้าผมไม่ทำอะไรเพื่อปกป้องสิ่งที่ผมรัก ไม่ปกป้องในอุดมการณ์ของผมแค่นั้นเอง ส่วนเรื่องป่า เรื่องจะสร้างไม่สร้าง เรื่องคุ้มค่าไม่คุ้มค่า มันเป็นเรื่องของ สผ.(สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) เรื่องของคณะกรรมการพิจารณา ที่จะต้องไปพิจารณาเอาเองว่ามันมีคุณค่า มีทางเลือกมีทางออกอะไรบ้างไหมที่จะทำเรื่องพวกนี้

-คิดว่าได้อะไรจากการไปร่วมเดินรณรงค์ครั้งนี้คะ

คือผมเริ่มเดินตั้งแต่ช่วงอยุธยา เดินไป 3 วัน สิ่งที่ได้นอกจากเจ็บเท้า เจ็บเข่า (หัวเราะ) ผมว่าผมได้ข้อมูลข่าวสาร แล้วก็ได้รู้ว่าคนไทยแม้จะมีความเห็นต่างกันแต่เขาก็ไม่ได้เกลียดอะไรกันขนาดนั้น เป็นกลุ่มคนที่ใจดี ถ้าเราคุยกันแบบเปิดใจให้กัน ตรงไปตรงมาแล้วผมว่าปัญหาทุกอย่างมันแก้ได้ แม้กระทั่งตอนที่ผมคุยกับ อ.ศศิน ช่วงที่เดินผ่านจุดที่คิดว่าจะมีการต่อต้านอย่างรุนแรง อย่างจุดลาดยาว มันก็ไม่ได้มีอะไรขนาดนั้น คือคุยกันได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สำคัญ

-แล้วได้คุยกับคนที่มาเดินด้วยกันบ้างไหม

กับพวกที่เดินด้วยกันจะไม่ได้คุย เพราะมันไกลมาก ระยะทางที่เราเห็นตอนขับรถที่ดูเหมือนใกล้ พอเราลองเดินด้วยเท้าจะรู้ว่ามันไกลมาก และมันก็น่าเบื่อมาก บางทีไม่ได้เหนื่อยแต่รู้สึกว่าเมื่อไหร่มันจะถึง แล้วก็ไม่เห็นอะไรนอกจากพื้นข้างหน้ากับเส้นจราจรแค่นั้น แล้วก็รู้อีกอย่างหนึ่งว่า หมาตายข้างถนนในประเทศไทยเยอะมาก เพราะเดินไปทุกสิบนาทีก็จะได้กินเหม็นตลอด

-การออกไปทำกิจกรรมรณรงค์อะไรแบบนี้มีผลกระทบต่องานนักแสดงบ้างหรือเปล่า

คือผมจะไม่เคยพูดนะว่าเขื่อนดีหรือเขื่อนไม่ดี ควรสร้างหรือไม่ควรสร้าง ควรสนับสนุนคนในพื้นที่ คนกรุงเทพฯ ไม่เคยพูดแบบนั้น ผมพูดแต่เรื่องข้อมูล ถ้าเราคุยกันเรื่องข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่เป็นหลักการ คุยกันว่าผลดีผลเสียจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไร อะไรคุ้มค่าที่สุด อะไรคือทางออกร่วมกันระหว่างคนกับป่า เราจะใช้ทรัพยากรเหล่านี้อย่างไร เราจะบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยน้ำท่วมอย่างไรให้มันพอดีพอเหมาะ อันนี้คือสิ่งที่ผมพูด เพราะฉะนั้นมันก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับงานของเรา

เวลาเข้าป่าสิ่งที่ผมไปเห็นยอมรับเลยว่าประเทศไทยเรายังเหลื่อมล้ำกันมากระหว่างคนกรุงเทพกับคนต่างจังหวัด เรื่องหนึ่งที่เหลื่อมล้ำกันมากที่สุด ผมว่าเป็นเรื่องข้อมูลข่าวสาร บางทีที่เราคุยกันไม่รู้เรื่องหรือว่าเราเข้าใจผิดกัน หลักๆ คือข้อมูลมันไม่ตรงกัน ถ้าคนที่มีข้อมูลและทำงานด้านนี้จริงๆ และให้ข้อมูลที่มันถูกต้อง ให้ข้อมูลที่มันชัดเจน ให้ข้อมูลที่เป็นด้านวิชาการกับเขาไป แล้วเราก็มาคุยกันบนพื้นฐานของข้อมูลพวกนี้ ผมว่านี่คือวิธีการที่จะแก้ปัญหาทั้งหมดทั้งปวงได้ คือมันไม่ใช่ว่าคนกลุ่มนี้ คนกลุ่มโน้น คนไทยเหมือนกันเราจะแก้ไขปัญหาตรงนี้อย่างไร ผมมองอย่างนี้มากกว่า ไม่งั้นมันก็คุยกันไม่จบ

-หลังจากไปร่วมกิจกรรมแล้ว ฟีดแบคจากคนรอบข้างเป็นอย่างไร

ก็มีทั้งชมมีทั้งว่าแหละครับ แต่สำหรับผมไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนทะเลาะกับคน แต่เป็นเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด เป็นเรื่องของการทำอย่างไรให้เกิดจุดสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ผมว่าทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องของการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน ให้เท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นอย่าไปเถียงกันด้วยเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องระหว่างสัตว์ป่า ต้นไม้ ธรรมชาติ น้ำ กับคน อย่าเอาเรื่องคนกับคนมาเถียงกัน ให้พูดถึงเรื่องความยั่งยืนของทรัพยากรป่าไม้ของเรา ข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ ข้อมูลที่เป็นข้อมูลจริงๆ เท่านั้นที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องพวกนี้ทั้งหมดได้

-วางบทบาทของตัวเองกับงานด้านอนุรักษ์อย่างไร

เป็นงานอดิเรกครับ ผมมีหลักของผมแบบนี้ คือถ้าผมจะสื่อสารอะไรมันต้องเป็นเรื่องที่ผมสัมผัสจริงๆ เป็นเรื่องที่ผมรู้ข้อมูลพวกนั้นอย่างรอบคอบ เพราะฉะนั้นอย่างเรื่องป่า ผมเข้าไปถ่ายรูปเข้าไปสัมผัสมาตอนนี้ก็ 6-7 ปีแล้ว พอจะรู้อะไรบ้าง ผมก็เลยสื่อสารสิ่งที่ผมรู้ แต่ก็ยังทำเป็นงานอดิเรกคือช่วงไหนงานยุ่งก็ไม่ทำ ช่วงไหนว่างๆ หรือไปรู้ข้อมูลใหม่ๆ มาก็พยายามจะพูด พยายามจะเล่าผ่านเฟซบุ๊คของผม เล่าผ่านอินสตาแกรมของผม ผมเล่าเรื่องการอนุรักษ์มาตลอดแหละครับ

อย่างเรื่องช้าง ผมรู้มานานแล้วตั้งแต่ที่แคเมอรูน อุทยานแห่งชาติบูบันจิดาที่มีกองโจรขี่ม้าถือปืนอาก้า อาร์พีจี เข้าไปยิงถล่มช้างตายไป 300 ตัว ผมเล่าตลอด แค่เพียงช่วงเวลานั้นผมยังไม่ได้สนใจอย่างจริงจัง อย่างล่าสุดก็มีการใช้วิธีวางยาเบื่อช้าง ในช่วงหน้าแล้งน้ำมันจะน้อยเป็นแค่บ่อ เขาก็เอายาเบื่อไปใส่ ช้างมากินน้ำตายไป 81 ตัว อันนี้คือความจริงซึ่งโหดร้ายมากในโลกใบนี้ มนุษย์ไปเบียดเบียนธรรมชาติอย่างเกินพอดี เรื่องพวกนี้ผมพยายามจะบอกพยายามจะเล่าเหมือนกัน

หรืออย่างเรื่อง เสือ สำหรับผมมันคือมรดกซึ่งคนรุ่นก่อนทิ้งไว้ให้เรา เรามีหน้าที่ต้องพามันส่งไปให้ลูกหลานของเรา เราพยายามอย่างเต็มที่ที่จะอนุรักษ์ เจ้าหน้าที่ที่เขาดูแลพิทักษ์ป่า เดินตรวจป่าปีหนึ่งเป็นหมื่นไร่ อาทิตย์ละหกวัน เงินเดือน 8,500 บาท แล้วก็มีสิทธิโดนยิงตายได้ทุกเมื่อ ก่อนหน้านี้ก็มีที่ทุ่งใหญ่นเรศวร โดนยิงตายไปสองคน ที่ห้วยขาแข้งโดนยิงสาหัส คนนี้ผมก็รู้จัก คือคนพวกนี้เขาเสียสละ ทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อปกป้องมรดกพวกนี้ของเรา หน้าที่อย่างหนึ่งของผมคือบอกให้ทุกคนรู้ว่า มีคนเสียสละดูแลทรัพย์ของชาติอยู่ และเสือทุกตัวที่โดนล่าที่เมืองไทยมันเป็นเรื่องของเรา

นายทุนต่างชาติมาจ้างคนไทยแค่ไม่กี่คนเอายาเบื่อเข้าไปวางในป่าเพื่อให้เสือมากินตาย ระหว่างเสือไม่มากิน ก็มีหมีมากินบ้าง คือสัตว์อะไรมากินมันก็ตายหมด เขาขโมยทรัพย์สินของคนไทยไปขายเข้ากระเป๋าตนเอง คนไทยเสียผลประโยชน์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่คนไทยต้องช่วยกันดูแล นี่คือสิ่งที่ผมพยายามบอก มีของดีอยู่เราก็ต้องพยายามรักษามันเอาไว้ แล้วทุกคนที่ช่วยรักษา พิทักษ์ป่า นักวิจัย เจ้าหน้าที่ป่าอะไรพวกนี้เราต้องให้การสนับสนุนเขา นี่คือสิ่งที่ผมพยายามจะพูด

-เท่าที่ติดตามสถานการณ์สัตว์ป่ามาหลายปี คิดว่าปัจจุบันความตระหนักของคนทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีขึ้นบ้างไหม

ผมว่าพวกโซเชียลเน็คเวิร์คมันช่วยนะ เป็นการให้ข้อมูลกับเขา ทุกคนคงไม่มีใครอยากไปฆ่าสัตว์ ไม่มีใครอยากจะไปตัดต้นไม้ แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันเป็นอย่างไร เวลาผมพูดเรื่องเสือโดนวางยาเบื่อตายทั้งครอบครัว ช้างโดนวางยาเบื่อ ช้างโดนอาร์พีจียิง ฉลามโดนตัดครีบ โยนทิ้งลงไปในทะเลเป็นๆ เขาก็สะเทือนใจกัน ทีนี้ถ้ามีวิธีการอะไรที่จะช่วยสนับสนุนเรื่องพวกนี้ได้เขาก็จะทำ

-คิดว่าปัญหาสำคัญของการอนุรักษ์สัตว์ป่าในบ้านเราคืออะไร

มันก็หลายๆ อย่าง จะไปโทษหน่วยงานหรือรัฐบาลอะไรก็ไม่ได้หรอก ผมว่ามันเป็นเรื่องของการให้ความรู้กับคนมากกว่า ถ้าสังคมเรามีเจตนาร่วมกันที่จะอนุรักษ์สัตว์ป่าหรือป่าไม้ก็ตาม รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขาก็จะไปปฏิบัติหน้าที่ให้มันเข้มข้นขึ้น ดูอย่างประเทศออสเตรเลีย ที่นั่นการอนุรักษ์ของเขาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก แต่ของเราปากท้องก็เป็นเรื่องสำคัญ เรื่องนี้มันเป็นรายละเอียดปลีกย่อย แต่ว่าต้องมีใครสักคนที่คอยกระตุ้นให้ทุกคนหันกลับมาคิดถึงเรื่องเหล่านี้สักนิดนึง