เอสวีไอลั่นปี'57จะเป็นปีที่ดีที่สุดของบริษัท

เอสวีไอลั่นปี'57จะเป็นปีที่ดีที่สุดของบริษัท

"พงศ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SVI ปักธงว่าปี 2557 จะเป็นปีที่ดีที่สุดของบริษัท

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เริ่มกลับมาฟื้นตัวเต็มที่ในปีนี้ หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมจนทำให้ขาดวัสดุในการผลิต ซึ่งบริษัท เอส วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ได้รับผลกระทบเต็มๆ จากเหตุการณ์ดังกล่าว ตั้งเป้าที่จะขยายธุรกิจเต็มสูบ เพื่อรองรับการเติบโตที่คาดว่าจะดี ขึ้นในปี 2557

"พงศ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SVI ปักธงว่าปี 2557 จะเป็นปีที่ดีที่สุดของบริษัท เพราะมีทั้งการขยายกำลังผลิต การเพิ่มไลน์การผลิตในสินค้าเฉพาะด้าน การซื้อกิจการใหม่ และกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ยอดขายเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้

"เป้าหมายรายได้ปี 56 มองไว้ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 9,000 ล้านบาทต่อปี จากปีก่อนเฉลี่ย 5,000-6,000 ล้านบาท ไตรมาสแรกปีนี้ จบไปรายได้ 1,600 ล้านบาท ไตรมาส 2 ปีนี้ มองว่ายอดขายจะสูงกว่าแน่นอน เพราะไตรมาสแรกจะเป็นจุดต่ำสุดของบริษัทแล้ว"

การปรับตัวดีขึ้นของรายได้มาจากตลาดในยุโรปของบริษัท ที่เน้นกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียเป็นหลัก เพราะเป็นตลาดซึ่งคนส่วนใหญ่มีเงิน ทำให้แม้จะเกิดวิกฤติทางการเงินก็ยังมีกำลังซื้อ แต่บริษัทก็ต้องพยายามปรับการผลิตไปยังกลุ่มสินค้า Maxxtronic หรือสินค้าที่มีการพัฒนาคุณภาพ ไม่ใช่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั่วๆ ไป

ที่สำคัญการก้าวนำหน้าไปผลิตในสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นการหนีจากคู่แข่งอย่างจีน ที่กำลังไล่หลังตามมา หากยังเป็นกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ธรรมดาก็จะถูกก๊อปปี้ได้ง่าย

บวกกับกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่มีอยู่มีความหลากหลาย ไม่ได้พึ่งพิงลูกค้ารายใดรายหนึ่งเกิน 30% ของยอดขาย ทำให้เมื่อลูกค้าปรับราคาวัสดุลง ก่อนที่จะมาให้ผลิตบริษัทจึงไม่กระทบมาก

นอกจากนี้ปีนี้บริษัทยังได้ลูกค้ารายใหม่เข้ามาอีก 5 รายที่จะเข้ามาเพิ่มกำลังการผลิต โดย 2 ใน 5 รายจะเป็นกลุ่มสินค้า Maxxtronic ซึ่งมีมาร์จินดีกว่าแถมการเพิ่มกำลังผลิต ก็ยังเป็นการหนุนมาร์จินให้บริษัทอีกด้วย เพราะบริษัทจะเน้นที่ยอดขายจำนวนมาก ดังนั้นหากยอดขายต่ำกว่า 60 ล้านดอลลาร์ มาร์จินบริษัทจะลดลงทันที ตรงข้ามมากกว่า 60 ล้านดอลลาร์ มาร์จิ้นก็จะพุ่ง

เพิ่มผลิตดันยอดขายเกิน 400 ล.ดอลล์

การตั้งเป้าหมายในส่วนกำลังการผลิตก็จะมีทยอยเพิ่ม เพื่อดันยอดขายเกิน 400 ล้านดอลลาร์ต่อปี จากความสามารถในการผลิตของบริษัทปีละ 100 ล้านดอลลาร์ หรือ เฉลี่ยไตรมาสละ 400 ล้านบาท แต่ปัจจุบันผลิตเพียงแค่ 60-70 ล้านบาท ต่อไตรมาสเท่านั้น บริษัทจึงยังมีความสามารถขยายการผลิตได้อีกมาก

"ภาพรวมอุตสาหกรรมฝั่งลูกค้าปีนี้ เริ่มมียอดคำสั่งซื้อเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน ตอนนี้ถือว่ากำลังผลิตของบริษัทยังไม่เต็มที่ เพราะยังรอลูกค้าใหม่ 5 ราย ซึ่งครึ่งปีหลังก็จะเห็นการเร่งการเติบโตมากขึ้น เพราะมียอดคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหม่เข้ามาแล้ว 1 รายที่ 600 ล้านบาท"

การขยายกำลังผลิตนี้ก็ยังเป็นการรุกตลาดใหม่อีกด้วยเพราะ กลุ่มลูกค้าใหม่จะมีฐานที่ตลาดอเมริกาที่บริษัทยังไม่ได้เข้าไป ด้วยภาวะการชะลอของเศรษฐกิจแต่ปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นทำให้บริษัทมองเห็นโอกาส รวมทั้งตลาดญี่ปุ่นไม่รวมเอเชียที่มาร์จินสูงกว่าตลาดเอเชียด้วยกัน

การวางตลาดตรงนี้เป็นจุดแข็งให้กับ SVI เพราะเกี่ยวข้องกับซัพพลายเชน หากใกล้กับแหล่งวัสดุ ทำให้มีการบริหารต้นทุนที่ดี ปัจจุบันบริษัทมีออฟฟิศจีน ไต้หวัน ออฟฟิศใหญ่ก็จะอยู่ในยุโรป และไทย เรียกได้ว่าครอบคลุมตลาดที่บริษัทต้องเข้าไปแล้ว ทำให้มีความสามารถในการจัดซื้อมากกว่าคู่แข่ง

เล็งฮุบกิจการเอื้อธุรกิจบริษัท

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SVI มองด้วยว่า การขยายกำลังผลิตและตลาดที่มากขึ้น ทำให้บริษัทมีความจำเป็นต้องมองหาการเทคโอเวอร์ธุรกิจที่เข้ามาเอื้อกับบริษัท มองไว้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้า Maxxtronic เป็นหลักในการเทคโอเวอร์และกลุ่มที่มีการผลิตในไลน์ที่ยากทำไม่ได้ในไทย หากได้มาก็จะสามารถผลิตได้เองเพื่อเสริมธุรกิจเดิมให้เติบโต มากขึ้น

ตอนนี้รับว่าอยู่ระหว่างการเจรจา 3 รายแต่จะเลือกเพียง 1 รายเท่านั้น ซึ่งเป็นรายใหญ่แน่นอนเพราะจะได้ทั้งเทคโนโลยี ฐานลูกค้า และได้ไลน์การผลิตมาอยู่ในไทย

ปัจจุบันบริษัทยังติดเงื่อนไขเงินลงทุนยังรอจากเงินประกันจากเหตุการณ์น้ำท่วม มูลค่าทั้งหมด 2,500 ล้านบาท ตอนนี้ได้รับการเครมเงินประกันได้แล้ว 900 ล้านบาทซึ่งไตรมาส 1 ที่ผ่านมาได้เพียง 40 ล้านบาท ยังเหลืออีก 1,600 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดเพียงพอที่จะเข้าไปซื้อธุรกิจอื่นๆ

กังวลทิศทางค่าบาทผันผวน

หากถามถึงเรื่องที่น่าเป็นห่วงว่าจะกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อ SVI ยังคงกังวลความผันผวนของทิศทางค่าเงินบาท ที่เป็นธุรกิจส่งออก ซึ่งช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมามีความผันผวนค่อนข้างมาก ทำให้การรับมือจัดการทำได้ยาก

ปกติธุรกิจ SVI ซื้อและขายด้วยเงินดอลลาร์อยู่แล้ว จึงทำให้มีการป้องกันความเสี่ยงในด้วย (Natural Hedge) หากเงินบาทแข็งอย่างช้าๆ ก็จะไม่มีผลกระทบอะไร แต่ช่วงที่บาทแข็งค่ารวดเร็ว แล้วก็กลับมาอ่อนและก็กลับมาแข็งค่า ทำให้บริหารจัดการได้ยาก

ทำให้ต้องมีการวางแผนระยะยาวในการบริหารจัดการเงินบาทด้วยการซื้อเงินบาทล่วงหน้าต่อเนื่องไปปกติ เน้นให้ลูกค้าซื้อวัสดุเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐแล้วอย่าเอาวัสดุกลับมาทิ้งไว้ในประเทศ ซึ่งจะรอจนใช้ผลิตจริงๆ ค่อยนำกลับเข้าประเทศ ตรงนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาราคาวัสดุกับขาดทุนค่าเงินบาทได้ เพราะสามารถลงเป็นสต็อกและขายออกไปได้ทันที

"ส่วนตัวมองทิศทางบาทควร 29 บาทต่อดอลลาร์ ไม่ควรแข็งค่ามากกว่า แต่ไม่ว่าบาทจะแข็งไปเท่าไรก็รับมือได้เพราะบริษัทซื้อและขายเป็นดอลลาร์สหรัฐอยู่แล้ว ถึงจะแข็งเป็น 25 บาทต่อดอลลาร์ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่คือความปั่นป่วนไม่สามารถบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า"

รับค่าแรง300บาทอุปสรรคเพิ่มผลิต

นอกจากนี้เรื่องค่าแรง 300 บาท ก็ยังเป็นปัญหารออยู่ข้างหน้าหากบริษัทจะมีการขยายกำลังผลิตในอนาคต เพราะธุรกิจนี้การขึ้นค่าแรงไม่ใช่ปัญหาแต่กลับไม่มีแรงงานเพียงพอ ทำให้บริษัทประสบปัญหาแรงงานขาดแคลน อนาคตยังต้องการแรงงานระดับ 1,000 ราย

ดังนั้นแนวโน้มในปี 2557 จึงยังเป็นปีที่บริษัทต้องขยายการเติบโตเพื่อให้ผลประกอบการสะท้อนมาที่ทิศทางราคาหุ้น เพราะหากปีนี้การลงทุนหรือการเทคโอเวอร์ขนาดใหญ่ยังไม่เกินบริษัทก็ยังสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นด้วยการพิจารณานำกระแสเงินสดที่มีอยู่ไปจ่ายเป็นเงินปันผลได้อีกทาง เพื่อคงอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลไว้ที่ 4-5%