สวยได้แต้ม ปลุกตลาดความงาม 2 หมื่นล้าน

สวยได้แต้ม ปลุกตลาดความงาม 2 หมื่นล้าน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความ“สวย-หล่อ”เป็นแต้มต่อในชีวิต ใบเบิกทางสู่สารพัดโอกาส โอกาสธุรกิจความงาม 2 หมื่นล้าน และคาดว่าจะเติบโตถึง 20% ในปีนี้

คนหน้าตาดีมักมีรายได้มากกว่าคนที่หน้าตาธรรมดาถึง 13%

ผู้ชายที่ไร้เสน่ห์ดึงดูดมีรายได้ต่ำกว่าผู้ชายที่มีเสน่ห์ 15%

ขณะที่ผู้หญิงหน้าตาพื้นๆ มีรายได้น้อยกว่าเพื่อนร่วมงานหน้าตาสะสวย 11%

ผู้ที่หน้าตาดี มักจะได้รับความช่วยเหลือมากกว่า โดยไม่รู้ตัว...

นี่ไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ หรือตั้งใจเสียดสีสังคมที่มีค่านิยมชื่นชมความงาม แต่ข้อมูลที่เห็นเป็นผลจากงานวิจัยในต่างประเทศ โดยมหาวิทยาลัยลอนดอน กิลด์ฮอลล์, มหาวิทยาลัยลอนดอน เมโทรโพลิแทน และสถาบันจอห์นสัน ปี 2011 จากการรวบรวมของนิสิตวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เจ้าของงานวิจัย “การตลาดสวยสั่งได้..เจาะกลเม็ดเด็ด ผ่าธุรกิจศัลยกรรม” ที่นำเสนอในงานสัมมนาการตลาดเชิงอภิปราย CMMU ครั้งที่ 10

Beauty Premium ความพิเศษอันเกิดจากความงาม เป็น “ใบเบิกทาง" นำพาโอกาสดีๆ มาสู่ชีวิตใครหลายคน และผู้คนก็ถูกกระตุ้นตอกย้ำจนคิดว่านี่ “เป็นสิ่งจำเป็น” ที่จะต้องแสวงหาให้ได้

และนั่นคือเหตุผลที่ตลาดความงามและศัลยกรรมบ้านเรายังคงเติบโตต่อเนื่อง จนมีมูลค่าธุรกิจรวมกว่า 20,000 ล้านบาทในปัจจุบัน ขณะที่ “การแพทย์และความงาม” ยังครองอันดับธุรกิจเด่นในปี 2012 (ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย)

ผู้นำในสนามการค้าแห่งนี้ ต่างประสานเสียงเชื่อว่าปีนี้ ธุรกิจยังโตได้ไม่ต่ำกว่า 20%

“น.พ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา” ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ยันฮี แบรนด์โรงพยาบาลในใจคนอยากสวย เจ้าของสโลแกน “สวยด้วยมือแพทย์” ที่อยู่ในสนามนี้มานานถึง 28 ปี ยังยืนยันความเป็น “ขาขึ้น” ของธุรกิจความงามและศัลยกรรม

โดยเชื่อว่าตลาดรวมยังคงเติบโตสูงกว่าปีที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ประมาณ 20% วัดจากมูลค่าตลาด และจำนวนผู้ใช้บริการที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการกันอย่างคึกคัก

“ตลาดนักท่องเที่ยวปีนี้เติบโตขึ้นมาก โดยมีนักท่องเที่ยวประมาณ 1.5 แสนคน ที่มาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ในจำนวนนี้มีสูงถึง 50% ที่มาใช้บริการความงามและศัลยกรรม”

หมอสุพจน์ บอกโอกาสหอมหวานของธุรกิจความงามในปีนี้ โดยสะท้อนจากโรงพยาบาลยันฮี ที่มีจำนวนลูกค้าต่างชาติพุ่งสูงขึ้น ทั้งโซนยุโรปและเอเชีย ตั้งแต่มารักษาโรคทั่วไป และศัลยกรรมความงาม โดยมีลูกค้ารวมเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ทุกปี

“ที่ลูกค้าต่างชาติมาใช้บริการเพิ่มขึ้น เรามีประสบการณ์ด้านนี้มากว่า 20 ปี ขณะที่ราคายังถูกกว่าเมืองนอก 5-10 เท่า อย่างลูกค้ายุโรป แม้ที่ผ่านมาเศรษฐกิจบ้านเขาจะซบเซา แต่ตัวเลขของผู้ที่มาใช้บริการก็ยังโตอยู่ เพราะบ้านเขาการรักษายังแพง แพทย์ที่เชี่ยวชาญยังมีจำกัด ต้องเข้าคิวรอเป็นปีกว่าจะได้รักษา ในขณะที่โรงพยาบาลในไทย ราคาถูกกว่า รักษาได้ทันทีไม่ต้องรอคิว”

ผอ.รพ.ยันฮี บอกถึงจุดแข็งประเทศไทย โดยเฉพาะต้นทุนความรู้ของแพทย์ที่สั่งสมประสบการณ์มานาน เรียกว่ามีลูกค้าผ่านมือมามาก ความจึงค่อนข้างได้รับความเชื่อถือจากลูกค้า

ใครจะคิดว่า แม้แต่เจ้าตลาดศัลยกรรมอย่างเกาหลี ก็ยังมาใช้บริการความงามที่บ้านเรา!

“เกาหลีเพิ่งเริ่มเรื่องศัลยกรรมความงามเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เขาจึงยังมีข้อจำกัดด้านประสบการณ์และความรู้ ส่วนใหญ่แปลงเพศไม่ได้ ดึงหน้าไม่ได้ ดูดไขมันไม่ได้ ทำได้แต่ผิวภายนอก อย่างเสริมจมูก ทำตาสองชั้น ตัดกราม ถ้าใหญ่กว่านั้นยังทำไม่ได้ จึงมาใช้บริการที่บ้านเรา”

เขาสะท้อนโอกาสที่เกิดขึ้นในวันนี้

“ทุกวันนี้โรงพยาบาลในไทยเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก เพราะได้พัฒนามาตรฐานในระดับโลก อย่างเชิญ JCI (Joint Commission International : JCI) ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมาให้การรับรอง คุณภาพ และความปลอดภัยของโรงพยาบาล ประกันภัยทั่วโลกก็ยินดีจ่าย ลูกค้าทั่วโลกก็ยิ่งเชื่อมั่นมากขึ้น”

หมอเก่ง บริการดี ราคาไม่แพง แถมสถานพยาบาลก็ปลอดภัยได้มาตรฐาน ขณะที่เทคโนโลยีก็ก้าวหน้า คนไข้ความงามจากทั่วโลกเลยแห่แหนมารับบริการในไทย กลายเป็น “แต้มต่อ” ของตลาดความงามและศัลยกรรมไทยในวันนี้
ขณะที่สภาพการแข่งขัน หมอสุพจน์ยอมรับว่ารุนแรงขึ้น แต่ในลักษณะที่ทุกคนตื่นตัวขึ้น และ “แข่งกับตัวเอง” มากกว่าจะ “แข่งกันเอง” เพราะแต่ละโรงพยาบาล หรือคลินิก ต่างมีกลุ่มลูกค้าของตัวเองอยู่แล้ว ที่สำคัญลูกค้ายังมีอีกเยอะมาก เรียกว่าไม่ต้องแข่ง ไม่ต้องแย่ง

“การตื่นตัวของแต่ละราย จึงเป็นการปรับปรุงพัฒนาตัวเองและแข่งกับตัวเอง อย่างมีทีมแพทย์เฉพาะทางเพิ่มขึ้น มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีพยาบาลที่เชี่ยวชาญ ซึ่งถ้าตั้งรับดี บริการดี การรักษารวดเร็ว ปลอดภัย ก็ยังโตในตลาดนี้”
สำหรับผู้เล่นหน้าใหม่ที่อยากเข้ามาในสนาม หมอสุพจน์ยอมรับว่า “ไม่ง่าย” โดยเฉพาะถ้าจะทำเป็นโรงพยาบาลยิ่งยากใหญ่ เพราะการขอใบอนุญาตประกอบสถานพยาบาลยากขึ้น มีกฎเกณฑ์ มีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น ส่วนใหญ่จึงเป็นการขยายสาขาของรายที่มีอยู่แล้ว หรือเปิดเป็นคลินิกเล็กๆ ซึ่งการจะต่อสู้กับผู้เล่นเดิมในสนามนั้น..ทำได้ยากมาก

ขณะที่การมาถึงของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ยังเป็นโอกาสสำคัญของธุรกิจความงามและศัลยกรรมไทย หมอสุพจน์ ย้ำว่า ไทยมีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางความงามและศัลยกรรมของอาเซียน เมื่อทุกวันนี้หลายประเทศในอาเซียนก็บินมาเนรมิตความสวยหล่อที่บ้านเราขณะที่แบรนด์ดังจากไทยก็เริ่มสยายปีกไปอาเซียน และประสบความสำเร็จอย่างเด่นชัด โดยเชื่อว่าหลังเปิดประตูอาเซียน ธุรกิจความงามและศัลยกรรมไทยจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี

แล้วพวกเขาตั้งรับอย่างไรกับโอกาสที่จะเกิดขึ้น ผอ.รพ.ยันฮี บอกเราว่า ยันฮีมุ่งไปที่การให้ “บริการความงามครบวงจร” อย่างแผนกศัลยกรรมตกแต่ง ก็ต้องสามารถทำได้ตั้งแต่หัว จรดเท้า อย่างการทุ่มงบกว่า 50 ล้านบาท เปิดตัว "ศูนย์จุดซ่อนเร้น" แห่งแรกในประเทศไทย เจาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิงทั้งในและต่างประเทศ โดยหมอสุพจน์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “นี่จะเป็นการรักษาโรคทุกข์ในใจของผู้หญิง” เรียกว่า จะไม่ทิ้งโอกาสจากลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกสภาพปัญหา

ขณะที่ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการขยายตัวของคนไข้ที่เพิ่มขึ้นถึงปีละ 10% ยันฮีได้ทุ่มงบกว่า 400 ล้านบาท เพื่อสร้างตึก Inter2 ต่อยอดจาก ตึก Inter 1 เพื่อรองรับลูกค้าต่างชาติซึ่งสร้างเสร็จไปแล้วในปีนี้ และในปีหน้าก็เตรียมผุดตึก Inter3 เพื่อให้สามารถรองรับคนไข้ได้เพียงพอ หลังการมาถึงของเออีซี

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาก็มีการลงทุนต่อเนื่อง ทั้งจัดซื้ออุปกรณ์ ขยายแผนกอายุรกรรม ห้องศัลยกรรม ขยายไลน์ธุรกิจเพิ่มตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดูแลผิวพรรณ(สกินแคร์) ภายใต้การผลิตของบริษัท ยาอินไทย จำกัด ในเครือโรงพยาบาลยันฮี

เวลาเดียวกัน ก็ยังพัฒนาความรู้ความสามารถของแพทย์ โดยส่งไปศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในต่างประเทศ เพื่อนำมารักษาคนไข้ให้ครบวงจร รวมถึง พัฒนาเครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาให้บริการลูกค้ามากขึ้น โดยปัจจุบัน ยันฮีมีแพทย์ เต็มเวลา (Full Time) รวม 150 คน และ Part Time อีก 250 คน รวม 400 คน มากพอเมื่อเทียบกับผู้เล่นในตลาด หมอสุพจน์ให้เหตุผลว่า

“เราอยากให้แพทย์มานั่งรอคนไข้ ไม่ใช่ให้คนไข้มานั่งรอแพทย์” ปิดจุดอ่อนช้ำๆ ที่คนไข้รู้สึกกับหมอ

ขณะที่กลยุทธ์รักษาแพทย์ไม่ให้ถูกซื้อตัวดึงตัวไปที่อื่น ก็คือให้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และให้ความยุติธรรมกับคนไข้ คุณหมอนักธุรกิจบอกเราว่า แค่การดูแลคนไข้ให้ดี ไม่เอาเปรียบคนไข้ แพทย์ที่รักษาก็สบายใจ ไม่ลาออกไปไหนแล้ว

โรงพยาบาลยันฮี อยู่ในธุรกิจมานาน 28 ปี มีมูลค่าธุรกิจในวันนี้กว่า 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นการรักษาทั่วไป 70% และความงาม 30% โดยตั้งเป้าที่จะโตไม่ต่ำกว่า 10% ในปีนี้ หมอสุพจน์บอกว่า ถ้ามีความพร้อมก็จะสามารถโตได้ใกล้เคียงกับตลาดรวมคือประมาณ 20% และนั่นก็เป็นความหวังของพวกเขา

“การทำธุรกิจความงามต้องลงทุน และลงทุนต่อเนื่อง ยิ่งเออีซีจะเข้ามา เรายิ่งต้องลงทุน เพื่อให้คนไข้ที่จะแห่กันเข้ามาได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด”

ทั้งกล้าลงทุน และไม่ปล่อยให้เสียโอกาส เวลาเดียวกับอัดกลยุทธ์การตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาใช้งบประมาณด้านนี้ไปถึง 60-80 ล้านบาท และในปีนี้ยังคงเดินหน้าต่อ โดยเน้นการตลาดเชิงความรู้เป็นกลยุทธ์หลัก

"พลังของพรีเซนเตอร์" ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญของหลายแบรนด์ในการสร้างการรับรู้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ที่ดูจะสร้างสีสันเอามากๆ ต้องยกให้ “วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก” อีกผู้นำด้านความงามและผิวพรรณ หลังเดินหน้ากลยุทธ์ Celebrity Marketing คว้า 6 พรีเซนเตอร์ อย่าง ''เจมส์-จิรายุ'', “ญาญ่าญิ๋ง”, ''กบ-ปภัสรา'', ''จิ๋ม-มยุรฉัตร'', ''ไก่-วรายุธ'' และ ''ปุ้ย-พิมลวรรณ'' ร่วมเปิดประสบการณ์ สวย-หล่อ เปลี่ยนชีวิต ในภาพยนตร์โฆษณา ''ชีวิต...จริง ชีวิต...เปลี่ยน'' ซึ่งเข้าถึงและกินใจใครต่อใครอยู่ในขณะนี้

“พลภัทร จันทร์วิเมลือง” ซีอีโอคนใหม่ของ วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก เพิ่งรับไม้ต่อจาก ณกรณ์ กรณ์หิรัญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด มาได้เดือนกว่าๆ เขาคือ 1 ใน 3 หุ้นส่วนของวุฒิศักดิ์ ที่ทำงานภาคปฏิบัติอยู่เบื้องหลังมาตั้งแต่ต้น จนขยับมาอยู่หน้าเวทีในวันนี้

พลภัทร บอกว่า โฆษณาชุดล่าสุดของวุฒิศักดิ์ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยต้องยกความดีให้กับฝ่ายการตลาดที่ ไม่หยุดนิ่ง ขยันคิดกลยุทธ์ใหม่ๆ ออกมาได้ทันตลาด

โดยพวกเขามีการทำวิจัยอย่างต่อเนื่อง ทั้งจ้างทีมวิจัยจากภายนอกมาทำการสำรวจภาพลักษณ์องค์กรทุกปี ขณะที่ทีมงานภายในก็ทำวิจัยกันอยู่เรื่อยๆ สำรวจเทรนด์ต่างๆ เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการมาตอบสนองได้ทันกระแส
ไม่น่าแปลกใจกับการดึงตัว “เจมส์ จิรายุ” พระเอกหน้าใหม่ที่รับบท “คุณชายพุฒิภัทร” หนึ่งใน 5 สิงห์แห่งวังจุฑาเทพ จะถูกเสือปืนไวอย่างพวกเขารีบปล่อยโฆษณาที่มีพรีเซนเตอร์ เรียกกระแสได้ทันท่วงที

“เรารู้มาก่อนว่า เจมส์ จิรายุ จะได้รับบทคุณหมอ ในละครเทพบุตรจุฑาเทพ การตลาดก็บอกว่าน่าสนใจนะ เพราะสวมบทบาทเป็นหมอ และอายุก็เหมาะที่จะมาจับกลุ่มวัยรุ่นด้วย ก็เลยติดต่อมาเป็นพรีเซนเตอร์ จะเรียกว่าฟลุ้คก็ได้นะ เพราะเราก็ไม่คิดว่าเขาจะดังขนาดนี้"

หลายคนอาจบอกว่า “ฟลุ้ค” แต่ดูกลยุทธ์ที่พวกเขาใช้ ล้วนวางแผนมาอย่างดี เช่น เลือกพรีเซนเตอร์ที่ไม่เป็นพวกหน้าช้ำในงานโฆษณา และต้องมีความน่าเชื่อถืออยู่ในตัว ที่สำคัญบทพูดในโฆษณา “ไม่มีสคริป” เพื่อให้ทุกคนได้บอกความรู้สึกที่แท้จริงออกมา ไม่ต้องสร้าง ไม่ต้องบิวท์ ส่วนที่เลือกพรีเซนเตอร์หลายคน เพราะต้องการจับลูกค้าหลายกลุ่ม เพราะแต่ละกลุ่มแต่ละช่วงวัยก็มีความต้องการไม่เหมือนกัน คนรับหน้าที่สะท้อนภาพก็เลยต้องต่างกันออกไป

สำหรับวุฒิศักดิ์ตั้งงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ไว้ที่10-15% ของยอดขาย โดยโฆษณาแต่ละชุดจะใช้งบประมาณไปไม่ต่ำกว่า 50-60 ล้านบาท ขณะที่กลยุทธ์ Celebrity Marketing ยังคงใช้ได้ในช่วงนี้ แต่พวกเขาก็ยอมรับว่า อนาคตก็อาจต้องปรับเปลี่ยนไป เพื่อให้เป็นไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนไป

รับตำแหน่งซีอีโอได้ไม่นาน แต่เขาบอกว่า ได้มอบโจทย์สำคัญให้กับทีมงาน คือ ต้องเป็นผู้นำในนวัตกรรมผิวพรรณในอาเซียนให้ได้ภายใน 5 ปี

ขณะที่ซีอีโอคนเก่า “ณกรณ์ กรณ์หิรัญ” เพิ่งเปิด 5 ยุทธศาสตร์รองรับอาเซียนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทั้งแผนการเปิดโรงพยาบาลความงาม ,วุฒิ-ศักดิ์ แกรนด์เพื่อเจาะลูกค้าไฮโซ ,เดินหน้าต่อยอดธุรกิจบิวตี้ ดริงก์ ,การขยายร้านค้าปลีก เฮลธ์คลับ ตลอดจนแผนบุกตลาดต่างประเทศ ด้วยงบลงทุนรวมกว่า 2,000 ล้านบาท พร้อมกับแย้มการเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในไตรมาส 3 ของปีนี้

พลภัทรบอกว่า เป้าหมายการทำงานและความสำเร็จของเขากับซีอีโอคนเก่ามีเหมือนกัน..แต่วิธีการอาจแตกต่าง

โดยสำหรับเขา ยังคงมุ่งเน้นในธุรกิจหลัก อย่างการขยายคลินิกทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ให้ได้ตามเป้า 130 สาขา ในปีนี้ ตามแผนขยายสาขาในไทยเพิ่มขึ้นปีละ 15 สาขา พร้อมผลิตภัณฑ์ที่ยังมีศักยภาพและสามารถขยายไปจำหน่ายในช่องทางอื่นๆ ได้ด้วย รวมถึงเดินหน้าขยายสาขาในอาเซียน จากที่ไปมาแล้ว 4 ประเทศ คือ พม่า ลาว เวียดนาม และกัมพูชา รวม 9 สาขาแฟรนไชส์ โดยในปีนี้คาดว่าจะขยายเพิ่มเป็น 20 สาขา

“สำหรับผม โรงพยาบาลเป็นเป้าหมาย เพราะคือการสร้างภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือให้กับเรา ถึงจุดหนึ่งเราคงต้องทำ แต่ตอนนี้ผมอยากเน้นธุรกิจหลักของเราให้ดีก่อน เพราะยังทำอะไรได้อีกมาก และเป็นจุดที่เร่งด่วนกว่า”
เขาสะท้อนนโยบาย พร้อมกับบอกเล่าสไตล์การทำงานของตัวเองว่า จะพูดก็ต่อเมื่อทุกอย่างชัวร์แล้ว

“ผมคิดไม่ได้ต่างจากคุณณกรณ์ เพียงแต่ไม่พูดไปก่อนเท่านั้น แต่ที่พูดได้แน่นอน คือ วิสัยทัศน์ที่เราจะเป็นผู้นำด้านผิวพรรณในอาเซียน”

มุ่งหน้าสู่ผู้นำในอาเซียนด้วยการจัดตั้งทีมมืออาชีพขึ้นมาศึกษาตลาดอาเซียนโดยเฉพาะ เพื่อดูกฎเกณฑ์ในแต่ละประเทศ โดยยังเน้นการหาพันธมิตรและขายแฟรนไชส์ เพื่อปิดจุดอ่อนความไม่เข้าใจวัฒนธรรมในแต่ละประเทศ

“ต่างชาติจะมาเปิดคลินิกในบ้านเรายังยาก เพราะวัฒนธรรมต่างกัน ต่างชาติที่ไม่เข้าใจคัลเจอร์แบบไทยก็อยู่ยาก เหตุผลเดียวกัน เวลาไปต่างประเทศ เราก็มองการเป็นพาร์ทเนอร์ชิปและแฟรนไชส์มากกว่า โดยเอาสิ่งที่เรามีอย่างโนว์ฮาว การบริการ และการจัดการ ไป ส่วนคัลเจอร์ก็ใช้ความเชี่ยวชาญจากคนท้องถิ่นอย่างเขา”

พลภัทร บอกเราว่า แผนเป็นผู้นำในอาเซียนไม่ใช่เรื่องยากนักสำหรับแบรนด์ไทย เพราะถ้าไม่พูดถึงประเทศอย่างสิงคโปร์ หรือมาเลเซีย ประเทศอื่นๆ ก็นับว่ายังคงตามหลังไทยในตลาดนี้ เพียงแต่จะต้องศึกษาตลาดอย่างดี มีโมเดลที่ดี หาพาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพ ไว้ใจได้ และตัดคู่แข่งในเออีซีด้วยการเลือกจับมือมาทำธุรกิจร่วมกัน เพื่อไม่ให้กลายมาเป็นคู่แข่งหลังประตูอาเซียนเปิดกว้างในวันหน้า

และเพื่อให้พร้อมรับมือความท้าทายในอนาคต ท่ามกลางการขยายตัวมากขึ้นขององค์กร มีพนักงานหลายพันชีวิต เขาบอกว่า ถึงยุคที่ต้องเปลี่ยนจาก ซีอีโอสั่งการ อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ซีอีโอ มาเป็นกระจายบทบาทให้กับพนักงานทุกคนมากขึ้น โดยกระตุ้นให้พนักงานได้แสดงศักยภาพเพื่อนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมาย

“ผมต้องการให้พนักงานทุกคนเติบโตก้าวหน้า เพราะแน่นอนว่าบริษัทก้าวหน้าตามแน่นอน อยากให้ทุกคนตั้งเป้าหมายของตัวเอง ให้ทุกคนตั้งความหวังว่าจะเป็นซีอีโอให้หมด แล้วเราจะปรับนโยบายให้เขาได้ใช้ศักยภาพของเขาได้เต็มที่ เพื่อให้ทุกคนได้แสดงความสามารถของตัวเองออกมา ซึ่งเมื่อไรสิ่งนี้เกิดขึ้น ธุรกิจจะเป็นอะไรที่ยั่งยืนมาก”
ซีอีโอคนล่าสุดของวุฒิศักดิ์ บอกวิสัยทัศน์กับเรา พร้อมตั้งเป้าว่าปีนี้จะมียอดขายแตะ 5,000 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อนที่มียอดขายรวมกว่า 4,000 ล้านบาท

และยังคงเดินหน้ารักษาความเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจความงาม โดยการเติมเต็มจุดแข็งในทุกจุด ทั้งมีความซื่อสัตย์กับลูกค้า บริการในสิ่งที่ดีที่สุด มีนวัตกรรม พัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ให้ความสำคัญกับการตลาด ตลอดจนการบริหารจัดการที่ดี และสร้างความแตกต่าง เพื่อให้ชื่อของ วุฒิศักดิ์ ยังอยู่ในใจลูกค้าตลอดไป

และนี่คือโอกาสของธุรกิจความงามและศัลยกรรม ที่ถ้าผู้ประกอบการเร่งปรับตัว ไทยก็พร้อมขึ้นแท่นศูนย์กลางความงามและศัลยกรรมในภูมิภาคนี้ได้ไม่ยาก
.......................................
เคล็ดลับจับตลาด “สวยสั่งได้"

SKILLED STAFF ฝีมือ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ารับบริการ

SENSIBLE VALUE สร้างความคุ้มค่า ทั้ง คุณภาพการบริการ คุณภาพและมาตรฐานวัสดุที่ใช้ ราคาที่เหมาะสม

SATISFIED SERVICE ต้องให้คำแนะนำ ให้ความรู้อย่างเพียงพอ และติดตามผล

SOCIAL INFLUENCER สื่อสังคมออนไลน์ ยังมีอิทธิพลมากที่สุด ผู้ประกอบการควรเข้าไปศึกษา

ที่มา : งานวิจัย “การตลาดสวยสั่งได้..เจาะกลเม็ดเด็ด ผ่าธุรกิจศัลยกรรม” วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU)