Wedding Planner เนรมิตฝันในวันหวาน

Wedding Planner เนรมิตฝันในวันหวาน

wedding planner : อาชีพเบื้องหลังค่ำคืนอันหวานชื่นของบ่าวสาว ที่กว่างานจะออกมาน่าประทับใจได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

หากจะลองนั่งนับดูถึงวันสำคัญๆ ในชีวิตคนเรา โดยเฉพาะวันที่จะได้ 'จัดเต็ม' ทั้งเจ้าตัว ตลอดจนแขกเหรื่อคนสำคัญ เพื่อนพ้องน้องพี่ที่มาร่วมงาน คงจะมีไม่มากนัก โดยหนึ่งในนั้นจะเป็นวันไหนไปไม่ได้ นอกจากคืนวันหวานชื่นอย่าง 'งานแต่งงาน'

และเชื่อว่า คงไม่มีบ่าวสาวคนไหนคิดอยากจะแต่งกันบ่อยๆ จึงไม่น่าแปลกใจ หากเราจะได้ยิน หรือรับฟังเสียงบ่นจากเจ้าบ่าว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'เจ้าสาว' ว่าเหนื่อยแสนเหนื่อยเพียงใดกว่าจะเตรียมงานให้ได้อย่างใจฝัน จนส่งผลให้มีคู่รักจำนวนไม่น้อย หันไปเลือกใช้บริการจาก 'เวดดิ้ง แพลนเนอร์' มาเป็นตัวช่วยมืออาชีพเพื่อให้ชีวิตง่ายขึ้น และเหนื่อยน้อยลง

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมธุรกิจให้บริการจัดงานแต่งงาน และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการแต่งงาน อาทิ ฟู้ดเซอร์วิส และเวดดิ้ง สตูดิโอ จึงมีมูลค่ารวมสูงถึงปีละกว่า 30,000 ล้านบาท โดยมีคู่บ่าวสาวราว 150,000 คู่ที่กำลังมองหาตัวช่วยมืออาชีพ จนส่งผลให้การแข่งขันร้อนเป็นไฟ และเต็มไปด้วยผู้สนใจกระโดดเข้ามาสู่สนามแข่งขันนี้เป็นจำนวนมาก

ล่าสุดก็ยังมีน้องใหม่กระโดดเข้าสู่สนามนี้เช่นเดียวกัน สำหรับ The Wedding List ของ ชาณิฑ ฮานน์ หรือ 'ส้ม' อาร์ติสท์สาวที่เบนเข็มเส้นทางอาชีพ จากการเดินทางไปเรียนเกี่ยวกับ Make up for Performance ที่ปารีส แล้วระหว่างนั้น ก็ได้รับจ็อบแต่งหน้าเจ้าสาวอยู่บ่อยๆ จนเริ่มซึมซับกับบรรยากาศการจัดงานแต่งงานไปโดยปริยาย

"ตอนแรกก็ยังไม่รู้ตัวนะคะ ว่าสนใจทำงานด้านนี้ จนกระทั่งมาเรียนต่อทางด้าน Fashion event planning ที่นิวยอร์ค และลงวิชาเลือก Bridal consulting and wedding planning แล้วทุกอย่างมันก็เริ่มต้นมาจากตรงนั้น"

สมัยอยู่ที่นิวยอร์ค ชาณิฑได้เคยมีส่วนร่วมในงานสำคัญๆ ของเซเลบริตี้ อาทิ งานฉลองครบรอบแต่งงานของ Kyra Sedgwick & Kevin Bacon, งานเลี้ยงวันเกิดของ Dianne Keaton และงาน proposal dinnerของ ราฟาเอล เดอ นีโร (ลูกชายโรเบิร์ต เดอ นีโร) และ คลอดีน เดอมาโตส์ โดยเคยได้ร่วมงานกับ 'ไบรอัน เจค็อบสัน' เวดดิ้งแพลนเนอร์ชื่อดังที่เซเลบจำนวนไม่น้อยไว้วางใจให้จัดงานสำคัญให้

วันนี้ ชาณิฑ นอกจากจะเป็นเจ้าของธุรกิจแล้ว เธอยังเป็นแกนหลักในการทำงานในฐานะ Bridal Consultant & Party Planner จากประสบการณ์ที่สั่งสมมา เธอยืนยันว่า งานเวดดิ้งแพลนเนอร์ ไม่ได้เป็นแค่ออร์แกไนเซอร์จัดงานอีเวนท์เพียงเท่านั้น เพราะงานที่ทำเป็นช่วงเวลาสำคัญของ "ความรัก" ที่ไม่เพียงคู่รักบ่าวสาว แต่ในงานยังแวดล้อมไปด้วยความรักของพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ฯลฯ ฉะนั้นงานของเธอจึงไม่ได้ดูแล หรือใส่ใจแต่กับบ่าวสาวเท่านั้น แต่เธอยังต้องมองไปถึงครอบครัวของทั้งสองฝ่าย เพื่อนเจ้าสาวและเพื่อนเจ้าบ่าวด้วย

"เราต้องลงดีเทลในครอบครัวลูกค้าเยอะมาก เช่น เวลาจัดงานพิธีการ ธรรมเนียมของแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน เราก็จำเป็นต้องเข้าหาผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย แล้วเอาข้อมูลต่างๆ มานั่งเรียบเรียง เพื่อที่รายละเอียดของงานทั้งหมดจะได้เป็นที่พอใจของทั้งบ่าวสาวและผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัว"

สำหรับขั้นตอนในการทำงาน เธอสรุปให้ฟังคร่าวๆ ว่า เริ่มต้นจากการนัดคุยกันก่อน ซึ่งสำคัญมาก เพราะสามารถเป็นได้ทั้งฉากเปิดและฉากปิดในเวลาเดียวกัน

"อย่าลืมว่า เราจะเข้าไปมีบทบาทของชีวิตคนคู่หนึ่งรวมถึงครอบครัวของเขา เพราะฉะนั้นเราจำเป็นที่ต้องให้โอกาสทั้งกับตัวลูกค้าและตัวเราเอง ตั้งแต่การทำความเข้าใจกัน ไปจนถึงความถูกชะตา พูดคุยกันถูกคอหรือไม่ เพราะเมื่อต้องทำงานด้วยกัน เราจะซื่อสัตย์กับลูกค้า โดยเฉพาะการออกความคิดเห็น ซึ่งบางครั้งก็ต้องถกเถียงกัน แต่เราจะฟังก่อนเป็นหลัก และไม่ยัดเยียดสิ่งที่ตัวเองชอบให้ลูกค้า แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่สามารถทำงานที่ไม่ใส่ใจรายละเอียดได้ คืออย่างน้อยที่สุดเราก็ต้องซื่อสัตย์กับตัวเองด้วย ดังนั้นการทำความรู้จักกันก่อนจึงสำคัญมาก แต่ถ้าผ่านจุดนี้แล้วทุกอย่างก็โอเคแล้วค่ะ เอางบตัวเลขมาดูกัน เริ่มหาคอนเซ็ปท์งาน ต่อจากตรงนี้มันก็ไปตามสเตปได้สบายๆ" เธอเล่า

การที่งานแต่งงานหนึ่งๆ จะกลายเป็นค่ำคืนที่น่าจดจำได้หรือไม่ เธอบอกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ "ความสนุก" ซึ่งเธอจะบอกกับลูกค้าเสมอว่า 'อย่ายึดติดกับความสมบูรณ์แบบ' เพราะจะทำให้ไม่สนุกกับงาน แล้วมันยังสร้างภาวะอึมครึมให้ตัวเองและคนที่คุณรักอีกด้วย

ฉะนั้นในมุมมองของเธอ เห็นว่า การจะจัดงานแต่งงานหรือปาร์ตี้ใดก็ตาม มันต้องเริ่มจากเจ้าของงานสนุกก่อน ทั้งแขก และบรรยากาศทั้งหมดมันถึงจะเฮฮาตามกันไปได้

และแม้เธอจะผ่านงานมาแล้วทั้งขนาดใหญ่เชิญแขกมากถึง 5,000 คน ไปจนถึงงานที่ส่วนตัวมากๆ กับแขกเข้าร่วมงานเพียง 5 คน แต่เธอยืนยันว่า ทุ่มเทกับทุกงานไม่ว่าจะเล็กใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัว เธอชอบที่จะทำงานขนาดเล็กๆ มากกว่า เพราะชอบที่จะใส่ใจในรายละเอียด จุดเล็กๆน้อยๆ ซึ่งสร้างความประทับใจให้แขกที่มาร่วมงาน

"ที่ชอบจัดมากที่สุด คือ ปาร์ตี้ขนาดเล็กๆ งานแต่งที่ค่อนข้างส่วนตัวหน่อย มันดูอบอุ่นกว่า มีงานหนึ่งจัดในสวนย่าน Park Slope ใน Brooklyn คู่บ่าวสาวให้ความสำคัญกับการดูแลแขกถึงขนาดเตรียมรองเท้าแตะไว้ให้เปลี่ยนสำหรับคนที่ใส่ส้นสูงมาแล้วเมื่อยเพราะจะมีเต้นรำกันต่อ ตรงนี้ทำให้เรารู้เลยว่าหัวใจสำคัญจริงๆ ของการจัดงานคือ การทำให้ทุกคนในงานแฮปปี้ และสนุกร่วมกันได้เต็มที่"

แต่การจะจัดงานได้อย่างสมบูรณ์ สร้างรอยยิ้ม มอบความสุขให้กับทั้งบ่าวสาว ตลอดจนแขกที่มาร่วมงานให้กลับบ้านไปอย่างมีความสุขได้นั้น ชาณิฑ บอกว่า คนจัดงานควรจะต้องมีความสุขในการทำงานเสียก่อน

"ต้องมีแพชชั่น และมีศรัทธาในงานที่ทำ แล้วความใส่ใจจะตามมาเป็นอัตโนมัติ ผลพลอยได้ที่ดีที่สุดก็คือ ทุกวันของเรามันจะแฮปปี้มาก อันนี้แหละที่สำคัญมาก" เธอเล่าพร้อมรอยยิ้ม

และแม้เธอจะมีความสุขกับงานที่ทำ ได้เห็นความสุข และความรักอยู่รายรอบงาน แต่เบื้องหลังนั้นก็ใช่ว่า จะเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เพราะหลายๆ ครั้ง ความเครียดก็เข้ามาครอบงำเหมือนกัน โดยเฉพาะเวลามีปัญหาที่ไม่คาดฝัน เมื่อถึงเวลานั้น เธอบอกว่า 'สติ' สำคัญที่สุด

"มีอยู่ครั้งหนึ่ง เจ้าบ่าวโทรหาตอนตีสามบอกว่า ออฟฟิศไฟไหม้ และของชำร่วยทั้งหมดอยูในนั้น อีกสามวันจะถึงวันงาน เจ้าสาวเป็นลมค่ะ และเจ้าบ่าวเครียดมาเพราะไหนจะออฟฟิศเสียหาย ไหนจะงานแต่ง เราตอบกลับไปแค่ว่า 'เดี๋ยวจัดการเองค่ะ ไม่ต้องกังวล กู้ดไนท์นะคะ!' วางสายปุ๊ป มานั่งอึ้งอยู่ประมาณสิบนาที พอตั้งสติได้ ก็ส่งข้อความไปหาเพื่อนเจ้าบ่าวทุกคนในลิสท์ทั้งหมดที่มี

ปรากฏว่า เช้ารุ่งขึ้น ทางเราได้รับอีเมล์ตอบกลับมาเยอะมากว่า บ้านคนนี้ทำของอันนี้จะเอามาช่วย บางคนรู้จักโรงงานนี้เดี๋ยวสั่งของมาให้เลย น้ำใจหลั่งไหลมาเยอะมาก สรุปของชำร่วยงานนั้นจากที่เตรียมพวงกุญแจไว้ ก็เปลี่ยนเป็นชุดผ้าพันคอไหมมัดหมี่ สปอนเซอร์โดยเพื่อนๆ ทั้งหมด กลายเป็นเก๋กว่าเดิมอีก" เวดดิ้งแพลนเนอร์คนเก่งเล่า และยังบอกอีกด้วยว่า นี่แหละคือผลของความใส่ใจในการทำงาน ที่ขอข้อมูลละเอียดยิบไปจนถึงข้อมูลเพื่อนเจ้าสาวและเพื่อนเจ้าบ่าว ซึ่งแม้จะมีปัญหาเข้ามาให้จัดการอยู่บ่อยๆ แต่สำหรับเธอ มองว่า นี่คือเรื่องสนุกที่ได้เจอโจทย์ใหม่เสมอ ทำให้ได้ฝึกฝนตัวเอง เรียนรู้ที่จะมองทุกอย่างสองด้าน

ที่สำคัญคือ "การมองโลกแง่ดี" ที่ทำให้ไม่ว่าปัญหาจะมากขนาดไหน แต่ก็ทำให้เธอสนุกกับงานที่ทำตรงหน้าได้เสมอ