ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ เคลื่อนทัพทีเส็บ ชู 4 ยุทธศาสตร์ดัน ‘ไมซ์ไทย’ ผงาดผู้นำระดับโลก

ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ประกาศวิสัยทัศน์ Change That Matters วาง 4 ยุทธศาสตร์หลัก G-L-O-C ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทย พร้อมปักหมุด "จุดหมายปลายทางที่โลกให้ความไว้วางใจ" ก้าวสู่ผู้นำไมซ์ระดับโลกอย่างแท้จริง
อุตสาหกรรมไมซ์ไทย เผชิญความท้าทายมากขึ้นกว่าเดิมมาก ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ซึ่งกลับมานำทัพ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เริ่มต้นประโยคเมื่อวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ (4 ก.ย. 2568) ในฐานะผู้อำนวยการคนใหม่ ทีเส็บ องค์กรของรัฐที่ตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE : Meetings, Incentives, Conventions and Exhibitions) รวมถึงงานเมกะอีเวนต์และเทศกาลนานาชาติของประเทศไทย โดยประกาศวิสัยทัศน์ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทย ภายใต้แนวคิด “Change That Matters” ผลักดันไมซ์ไทยทรงพลัง ปักหมุดเป็นจุดหมายปลายทางที่โลกให้ความไว้วางใจ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำไมซ์ระดับโลก
ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการคนใหม่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ฉายภาพว่า เศรษฐกิจโลก ปัจจุบันเป็นเสมือนไบโพลาร์เวิลด์ อยู่ในสภาวะที่ไม่ได้มีแค่สองขั้ว ทำให้แต่ละประเทศมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะเวียดนามเติบโตเร็วมาก สปริงบอร์ดขึ้นมาทันทีในภูมิภาคนี้ อีกทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ (Gen Z) ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีความต้องการที่ไม่เหมือนเดิม ทำให้รูปแบบการจัดงานต้องเปลี่ยนไป ผู้เดินทางกลุ่มไมซ์มีความคาดหวังสูงขึ้น และแนวโน้มทั่วโลกให้ความสำคัญกับเรื่องการเดินทางเพื่อรางวัล (Incentive Trip Travel) ที่แสวงหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้ามากขึ้น
“ความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศยังเป็นปัจจัยท้าทายต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติ แม้ว่าผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในปัจจุบันจะยังไม่รุนแรงเท่าอดีต แต่ต้องให้ความชัดเจนและสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่องเป็นสำคัญ”
นอกจากนี้ ท่ามกลางโลกแห่งยุคเทคโนโลยีดิจิทัล AI เข้ามามีบทบาทอย่างมาก และถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมการทำงานและสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ผู้ประกอบการที่ไม่มีนโยบายหรือไม่นำเทคโนโลยีมาใช้จะถือว่าล้าหลัง เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป AI ยังเป็นความท้าทายในด้านการให้ข้อมูลที่พิเศษกว่า หรือเนื้อหาที่ AI ยังเข้าไม่ถึง
อีกความท้าทายที่ปฎิเสธไม่ได้ นั่นคือ แนวโน้มด้านความยั่งยืนที่เป็นหัวใจสำคัญที่ทุกอุตสาหกรรม รวมถึง อุตสาหกรรมไมซ์ ต้องตระหนักมากขึ้น เมื่อต่างชาติจะจองโรงแรมหรือเลือกประเทศจัดงาน จะพิจารณาถึงนโยบาย “Green City” หรือ “Smart City” และมีความต้องการจัดงานแบบ “Zero Neutral” ที่สามารถวัดปริมาณคาร์บอนและชดเชยให้เป็นศูนย์ได้ นอกจากเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังรวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน และหลักธรรมาภิบาล (Governance) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ESG (Environmental, Social, Governance)
อุตสาหกรรมไมซ์ หนึ่งในพลังสำคัญขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย จะก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้สร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนได้อย่างไร?
“เราไม่ได้แค่มาเปลี่ยน แต่จะมาสร้างปรากฏการณ์หลายๆ อย่าง การกลับมาทำงานที่ ทีเส็บ ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการกลับมาทำงานที่เดิม แต่เป็นเพราะมี passion และภารกิจที่ยิ่งใหญ่รออยู่ ประสบการณ์กว่า 1 ปีที่ผ่านมาในการทำงานที่สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ทำให้ได้เรียนรู้และเข้าใจ Real Sector หรือภาคธุรกิจที่แท้จริง ซึ่งสะท้อนความต้องการของผู้ประกอบการอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น จึงตระหนักว่า ไมซ์มีความหมายมากกว่าการท่องเที่ยวมาก ไม่ใช่เพียงอุตสาหกรรมการจัดงาน แต่คืออุตสาหกรรมที่สร้างคุณค่าและนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในลักษณะ Change That Matters กล่าวคือต้องมีผลกระทบที่สำคัญและมีความหมายให้กับ Real Sector”
ดร.ศุภวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นที่มาของภารกิจ Change That Matters นำไมซ์ไทยสู่ “Global-Asia’s Trusted Gateway” หรือประตูสู่เอเชียที่ทั่วโลกให้ความไว้วางใจ
โมเดลเศรษฐกิจใหม่ต่อยอดไมซ์แห่งอนาคต
ดร.ศุภวรรณ กล่าวว่า ทีเส็บ มีบทบาทสำคัญในการดึงงาน สร้างงาน และหางานประเภท MICE (Meetings, Incentives, Conventions, Exhibitions) รวมทั้ง Mega Events และ Festival เข้ามาในประเทศไทย ยุทธศาสตร์ใหม่ของทีเส็บ ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การดึงงานเข้ามาเท่านั้น แต่ให้ความสำคัญกับการ “สร้างผลกระทบ” (win impact) ต่อชุมชน อุตสาหกรรมเป้าหมาย และพื้นที่ โดยจะพิจารณาว่างานนั้นมีประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างไร
การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทย “Change That Matters” โจทย์ใหญ่คือ จะทำให้เกิดผลกระทบสูงสุด (high-impact) ได้อย่างไร เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผลลัพธ์ที่ชัดเจน สามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ทรงคุณค่าและยั่งยืน (transformative, high-value, sustainable experiences) พลิกความคิดที่มองไทยเป็น “Cheap Destination”
ประเด็นที่น่าสนใจ นั่นคือ การเกิดขึ้นของโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Models) ซึ่งสามารถต่อยอด ขยายผล สร้างอีเวนต์เชื่อมโยง อุตสาหกรรมไมซ์ ไม่ว่าจะ Color Economy เป็นแนวคิดที่นำ “สี” มาเป็นสื่อกลางในการจัดคู่และสร้างธุรกิจใหม่ โดยผสานวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละเมือง เช่น Orange Economy หรือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่นำความคิดสร้างสรรค์ใส่ลงในธุรกิจ Blue Economy เศรษฐกิจเกี่ยวกับท้องทะเล ซึ่งเป็นทรัพยาการท่องเที่ยวที่โดดเด่นของไทย หรือ Green Economy เศรษฐกิจสีเขียว เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เหล่านี้ นำไปสู่ธุรกิจใหม่ เช่น Future Food ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทใน 20-30 ปีข้างหน้า
โมเดลเศรษฐกิจใหม่จะเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ เปลี่ยนภาพลักษณ์ อุตสาหกรรมไมซ์ จากการเป็นเพียง “การท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ” ที่วัดเพียงค่าใช้จ่ายต่อหัว ให้กลายเป็นอุตสาหกรรมที่มี “คุณค่าเชิงธุรกิจที่ลึกซึ้งกว่า” สามารถสร้างเครือข่าย การเจรจาธุรกิจ และการเป็นพันธมิตร โดยการจัดงานต้องมองทั้ง Return on Experience (ROE) หรือการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า และ Return on Investment (ROI) หรือผลตอบแทนจากการลงทุน ที่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ต่อชุมชน เมือง และอุตสาหกรรมในพื้นที่ ไม่ใช่แค่ผลตอบแทนของตัวเองเท่านั้น
“เรามุ่งสร้างความพร้อมในการเป็น Luxury Destination รองรับกลุ่มพรีเมียม ไทยไม่ต้องการเป็นจุดหมายปลายทางราคาถูก โดยไมซ์ช่วยสร้างโอกาสสำหรับต่อยอดทางธุรกิจ อุตสาหกรรมต่างๆ ได้มากกว่ารายได้ในรูปแบบการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่สามารถสร้าง Ecosystem เชื่อมโยงเครือข่ายที่ลึกมากกว่าการใช้จ่ายต่อหัว และขยายผู้ประกอบการไมซ์ซึ่งมีน้อย เป็น pain point ของไทย”
4 ยุทธศาสตร์หลัก G-L-O-C เพิ่มขีดแข่งขันไมซ์ไทย
ทีเส็บ วาง 4 ยุทธศาสตร์หลัก G-L-O-C เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของไมซ์ไทยให้ก้าวทันสถานการณ์ที่ปรับเปลี่ยนและโจทย์ที่ท้าทายในระดับสากล ประกอบด้วย
ยุทธศาสตร์แรก “Global Reach”
มุ่งเน้นการสร้างแบรนด์จุดหมายปลายทาง การประมูลงานไมซ์ระดับนานาชาติอย่างชาญฉลาด (Smart Bidding) การขยายตลาดในต่างประเทศ และการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เพื่อดึงงานที่มีผลกระทบสูงเข้ามาจัดในประเทศ
“เราเน้นการดึงงานระดับโลก (Global) ที่สร้างผลกระทบสูง สอดรับกับอุตสาหกรรมเป้าหมายและนโยบายของประเทศ เช่น กลุ่ม Medical & Wellness, Science, Technology, Innovation, Digital ตัวอย่างงานใหญ่ที่กำลังจะจัด ได้แก่ World Bank, Gastech, World Horticultural Expo สสป. จะร่วมมือกับกระทรวงต่างๆ และสมาคมที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์นี้”
ยุทธศาสตร์ที่สอง “Local Strength”
การพัฒนาคลัสเตอร์เมืองไมซ์ (MICE City Clusters) ใน 10 เมือง รวมถึงเมืองรองอื่นๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างกิจกรรมเรือธง (Flagship Events) ที่สามารถยกระดับประเทศไทยในเวทีโลกได้
“เป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งในระดับท้องถิ่น โดยการเพิ่มจำนวนเมืองไมซ์ (MICE City) จาก 10 เมือง มีแผนจะเพิ่มอีก และสร้างความพร้อมของเมืองและเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการไมซ์ในภูมิภาค ซึ่งยังคงมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ จะมีการสร้าง Ecosystem และแพลตฟอร์มสำหรับผู้ประกอบการ”
ยุทธศาสตร์ที่สาม “Organisation Transformation”
มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อรองรับการเติบโต ซึ่งครอบคลุมถึงการพัฒนาบุคลากร (People Transformation) โดยสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เต็มไปด้วยความไว้ใจและปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety) การเปลี่ยนสู่องค์กรดิจิทัล (Digitalisation) ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) และที่สำคัญคือการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน
ยุทธศาสตร์ที่สี่ “Capabilities Excellence”
การยกระดับบทบาท ทีเส็บ ให้เป็นผู้กำหนดนโยบาย (Policy Shaper) และการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม รวมถึงพัฒนาบุคลากรให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไมซ์ของอาเซียน และการขับเคลื่อนนวัตกรรมและความยั่งยืนในอุตสาหกรรม
“ทีเส็บมุ่งยกระดับบทบาทเป็น Regulator และ Certified Body เพื่อกำหนดมาตรฐานและคุณวุฒิวิชาชีพในอุตสาหกรรมไมซ์ โดยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลอุตสาหกรรม Event Professional ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ดร.ศุภวรรณ ย้ำในท้ายนี้ว่า การขับเคลื่อน อุตสาหกรรมไมซ์ไทย ด้วยพลังของการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการกับทุกภาคส่วน ไม่เพียงสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับอุตสาหกรรมไมซ์ไทย แต่จะผลักดันการเติบโตในอัตราเฉลี่ย 5% ต่อปีได้ตามเป้าหมาย ภายใต้การสนับสนุนอุตสาหกรรมไมซ์ของรัฐบาล เช่น การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า (Flashback Visa) การลดหย่อนภาษีนำเข้า (Duty Off) สำหรับกลุ่มนิทรรศการ เป็นต้น
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมไมซ์ไทย ตั้งเป้าหมายปี 2569 สร้างรายได้ 200,000 ล้านบาท สำหรับปี 2568 นับตั้งแต่ต้นปีถึงเดือน มิ.ย. สร้างรายได้ราว 100,000 ล้านบาท เติบโต 3% จากช่วงเดียวกันปี 2567 ต่ำกว่าเป้าหมาย เป็นไปตามสภาวการณ์ต่างๆ ที่เต็มไปด้วยปัจจัยลบรุมเร้า ซึ่งยังต้องจับตาช่วง 4 เดือนสุดท้ายหากสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้นน่าจะฟื้นตัวเลขได้บ้าง ซึ่งปีนี้วางเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 180,000 ล้านบาท







