NIDA ดึงนานาชาติออกแบบอนาคต เวทีแลกเปลี่ยนความรู้สู่การพัฒนายั่งยืน

NIDA ยกระดับเวทีวิชาการไทยสู่ระดับสากล ด้วยการจัดงานประชุมที่รวมผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก รวมถึงผู้แทนจากสหประชาชาติ (UN) และสถานทูตจีน มาแลกเปลี่ยนมุมมองภายใต้หัวข้อ "ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในยุคอัจฉริยะ ปูทางสู่ความท้าทายใหม่ระดับโลก"
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ NIDA จัดงานประชุมวิชาการระดับชาติ และระดับนานาชาติ ประจำปี 2568 (2025 National and International Conference of The National Institute of Development Administration) หรืองาน 4th NIC - NIDA Conference, 2025 ในภายใต้หัวข้อ "Collaboration for Sustainable Development in the Intelligent Age: Paving the Way for Solutions to New Global Challenges" (ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในยุคอัจฉริยะ ปูทางสู่ความท้าทายใหม่ระดับโลก) ระหว่าง 28-29 สิงหาคม 2568 ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.จุรี วิจิตรวาทการ นายกสภาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เป็นประธานเปิดงาน พร้อมศาสตราจารย์ ดร.ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ อธิการบดี ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ Speakers ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และผู้เข้าร่วมงานประชุมวิชาการฯ ทั้งไทยและต่างประเทศ
ศาสตราจารย์ ดร.วิสาขา ภู่จินดา รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ NIDA กล่าวว่า ธีมหลักงานประชุมวิชาการครั้งนี้คือ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในยุคอัจฉริยะ ปูทางสู่ความท้าทายใหม่ระดับโลก (Collaboration for Sustainable Development in the Intelligent Age: Paving the Way for Solutions to New Global Challenges) มุ่งหวังให้นักวิชาการได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนำองค์ความรู้ไปแก้ปัญหาในประเทศไทยและระดับนานาชาติ
ทั้งนี้ มีปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ Collaboration for Sustainable Development in the Intelligent Age: Paving the Way for Solutions to New Global Challenges โดย Keynote Speakers ระดับนานาชาติ อาทิ Michaela Friberg-Storey (UN Resident Coordinator in Thailand) และ Mr. Zhao Mengtao (Counselor at the Embassy of the People's Republic of China in the Kingdom of Thailand)
รวมทั้ง Panel Discussion ในหัวข้อ Smart Infrastructure and Inclusive Industrialization: Pathways to Sustainability โดย Prof. Richard Welford, Ph.D. (Director of ERP Environment and NIDA Visiting Professor) Prof. Ming-Lang Tseng, Ph.D. (Asia University) Assoc. Prof. Haoqi Qian, Ph.D. (Fudan University) และ Assoc. Prof. Sarawut Jansuwan, Ph.D. (Smart City Center, NIDA)
รศ.ดร.ณัฐกริช เปาอินทร์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายสื่อสารองค์การ NIDA กล่าวเสริมว่า การสร้างความยั่งยืนในยุค AI ต้องเริ่มต้นด้วยการสร้าง Mindset ให้คนรุ่นใหม่รู้จักปรับตัวและเรียนรู้ที่จะควบคุม AI พร้อมทั้งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เนื่องจาก AI จะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระในส่วนที่ใช้ความรู้ ทำให้มนุษย์มีเวลามากขึ้นเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ การใช้ AI อย่างยั่งยืน จะเป็นเหมือนเพื่อนร่วมงาน (Colleague) ที่มนุษย์ต้องเป็นผู้นำและใช้ให้ถูกต้อง AI ช่วยแบ่งเบางานที่ต้องใช้ความรู้ มนุษย์จะมีเวลามากขึ้นเพื่อไปสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับสังคมและโลก รวมถึงการสร้างความร่วมมือซึ่งกันและกัน
ปัจจุบันโลกยังไม่มีกฎหมายที่ออกมาเพื่อควบคุมการใช้ AI โดยตรง เนื่องจากเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว งานวิจัยด้านกฎหมายของ NIDA จึงมุ่งเน้นการพัฒนา Soft Law หรือแนวปฏิบัติที่ไม่ใช่กฎหมายที่บังคับใช้ในเชิงพระราชบัญญัติ แต่เป็นแนวทางที่ผู้เกี่ยวข้องกับ AI ทั่วโลก รวมถึงไทยควรนำไปใช้เป็นอยู่บนความโปร่งใส (Transparency) การลดอคติ (Bias): AI ต้องไม่ก่อให้เกิดอคติในการเลือกปฏิบัติ ความรับผิดชอบ (Accountability): ผู้ใช้ AI ต้องมีความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
"ถึงแม้ Soft Law จะไม่ใช่กฎหมายที่บังคับใช้ตามตัวบท แต่ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจะเผชิญกับแรงกดดันทางสังคม และอาจทำให้ไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ แนวทางนี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการกำกับดูแลพฤติกรรมของ AI และผู้ใช้งานในยุคที่กฎหมายยังตามไม่ทันเทคโนโลยี"
สำหรับงานวิจัยของ NIDA ที่สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย อาทิ งานวิจัยของศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุที่ศึกษาเรื่องนี้มานานกว่า 15 ปี โดยมีการเก็บข้อมูลตามคาบระยะเวลาแบบ Panel Study ซึ่งเป็นนวัตกรรมด้านการสำรวจวิจัยที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้สูงอายุในมิติต่างๆ ในกลุ่มตัวอย่างตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป โดยมีการติดตามเก็บข้อมูลจากตัวอย่างเดิมทุกๆ 2 ปี ครอบคลุม เศรษฐกิจ: รายได้ รายจ่าย และการพึ่งพิงความช่วยเหลือจากลูกหลาน สุขภาพ: การประเมินสุขภาพกายและสุขภาพจิตด้วยตนเอง และความสัมพันธ์ในครอบครัว: การอยู่ร่วมกับลูกหลานและคู่สมรส เป็นต้น
ผศ.ดร.ดารารัตน์ อานันทนะสุวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสังคมผู้สูงอายุ กล่าวว่า ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ผู้สูงอายุในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังคงต้องพึ่งพิงความช่วยเหลือทางการเงินจากลูกหลานเป็นหลัก ไม่ใช่เงินสวัสดิการจากภาครัฐ นอกจากนี้ยังพบว่า โครงสร้างครอบครัวเปลี่ยนไปสู่ครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น รวมทั้งความสัมพันธ์แบบพ่อแม่พึ่งพาลูกแบบดั้งเดิม มาเป็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพิงซึ่งกันและกันระหว่างพ่อแม่และลูก
"งานวิจัยเหล่านี้ไม่ได้ถูกเก็บไว้บนหิ้ง แต่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อเป็น Changing Agent หรือผู้ที่จะนำข้อมูลไปสร้างการเปลี่ยนแปลง เช่น กรมกิจการผู้สูงอายุ: ข้อมูลจากงานวิจัยช่วยให้กรมฯ สามารถวางแผนนโยบายรองรับสังคมผู้สูงอายุได้ครอบคลุมผู้สูงอายุได้มากขึ้นไม่เฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่เปราะบางเท่านั้น ภายใต้แนวคิด Active Ageing และ Productive Ageing ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุยังคงมีคุณค่าและสามารถทำงานเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคมต่อไป"
รวมทั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็ได้ มีการนำผลการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางขับเคลื่อนนโยบายการคุ้มครอง "สิทธิมนุษยชนของผู้สูงอายุ" โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพไม่แข็งแรงในช่วงบั้นปลายชีวิตและกลุ่มผู้สูงอายุที่ยังแข็งแรงมีสุขภาพดี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ประเทศไทยยังไม่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ
ผศ.ดร.ดารารัตน์ กล่าวเพิ่มว่า งานวิจัยยังช่วยสะท้อนให้เห็นว่า อายุคาดเฉลี่ยของคนไทย (Life Expectancy) ณ อายุ 60 อยู่ที่ประมาณ 21-22 ปี แต่อายุคาดเฉลี่ยที่มีสุขภาพดี (Healthy Life Expectancy) ณ อายุ 60 อยู่ที่ประมาณ 16 ปี นั่นหมายความว่าโดยเฉลี่ยแล้ว จำนวนปีที่คาดว่าคนไทยจะมีชีวิตที่เหลือประมาณ 6 ปีที่สุขภาพไม่ดี ซึ่งเป็นช่องว่างของการมีชีวิตที่เหลือที่มีสุขภาพไม่ดีที่หน่วยงานรัฐต้องเร่งวางแผนรับมือในการลดช่องว่างดังกล่าวให้สั้นที่สุด NIDA จึงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอข้อมูลเหล่านี้ เพื่อให้ภาครัฐตระหนักและสร้างโครงสร้างระบบในการดูแลที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุในทุกกลุ่มอายุต่อไป
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยด้านความเหลื่อมล้ำ เช่น เรื่องการกระจายอำนาจ รายได้ และภาษี โดยงานวิจัยเหล่านี้ก็ถูกส่งต่อให้ผู้ใช้งานจริงนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ รวมทั้ง สิ่งแวดล้อม มีงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่มุ่งสู่ Carbon Neutrality (ความเป็นกลางทางคาร์บอน) และ Net Zero (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์) งานวิจัยเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่ระดับนโยบายไปจนถึงระดับพื้นที่ โดยได้จัดทำแผนให้กับ 12 จังหวัดที่เป็นพื้นที่นำร่อง เช่น ปทุมธานี และสมุทรสาคร
ศ.ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ ศาสตราจารย์ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ NIDA ที่ทำงานวิจัยด้านความเหลื่อมล้ำ อธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันความเจริญทางเศรษฐกิจของไทยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เมือง ซึ่งเห็นได้จากตัวชี้วัดต่างๆ เช่น ความหนาแน่นของร้านค้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ต่อพื้นที่ และยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่างบประมาณและการจัดสรรทรัพยากรก็มักจะอยู่ในตัวอำเภอเมือง นอกจากนี้ยังมีความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษาที่สะท้อนจากคะแนน O-NET โดยเฉพาะเด็กในภาคอีสานที่มีทางเลือกของโรงเรียนจำกัดกว่าเด็กในพื้นที่อื่น สาเหตุหลักมาจากระบบที่รวมศูนย์อำนาจไว้ส่วนกลางมาเป็นเวลานาน
ดังนั้น อยากเสนอให้ภาครัฐควรเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการแก้ไขปัญหานี้ ด้วยการย้ายหน่วยงานระดับกรมที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับแต่ละภูมิภาคออกไปจากส่วนกลาง เช่น กรมป่าไม้ควรไปตั้งในภาคเหนือที่มีป่าไม้จำนวนมาก หรือกรมประมงควรไปอยู่ภาคใต้ การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้การทำงานใกล้ชิดกับพื้นที่หน้างานมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดเล็กๆ
ยกตัวอย่างการย้ายหน่วยงานระดับกรมซึ่งมีงบประมาณมหาศาล และมีกำลังคนจำนวนมาก จะทำให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจในพื้นที่นั้นๆ ทั้งในแง่ของเงินเดือนข้าราชการที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย และการใช้จ่ายงบประมาณจัดซื้อจัดจ้าง นอกจากนี้ยังจะดึงดูดร้านค้า โรงแรม และธุรกิจอื่นๆ ให้ตามมา ซึ่งจะส่งผลให้ GDP ของจังหวัดนั้นๆ เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน 5 ปี
"การกระจายอำนาจนี้เป็นเรื่องที่ควรพิจารณาและต้องมีการวิจัยเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่มีงานวิจัยที่ชัดเจนเกี่ยวกับการกระจายส่วนราชการออกไปตามภูมิภาคเลย และการปฏิรูประบบราชการที่ควรจะเกิดขึ้นก็ยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรม การกระจายอำนาจไม่ใช่แค่การกระจายเม็ดเงิน แต่ยังรวมถึงการกระจายองค์ความรู้และกำลังคน ซึ่งจะช่วยสร้างศูนย์กลางความเจริญแห่งใหม่ๆ กระจายไปทั่วประเทศ ลดการอพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาในเมืองหลวง และสร้างความเท่าเทียมในโอกาสให้กับประชาชนในทุกภูมิภาคได้อย่างแท้จริง"
ทั้งนี้ เวทีนี้มีการนำเสนอบทความวิชาการกว่า 150 บทความ ซึ่งผ่านการคัดเลือกจากผู้ประเมินอย่างน้อย 2 คน มีห้องย่อยนำเสนอประมาณ 30 ห้อง และมีการมอบรางวัล Top Paper Awards คาดว่ามีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 800-1,000 คน ทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และนักวิจัยเข้ามาร่วมงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำองค์ความรู้ไปแก้ปัญหาในระดับประเทศและระดับนานาชาติ นอกจากนี้ยังมีคนรุ่นใหม่ นักศึกษาระดับปริญญาตรีจาก มรภ.นครปฐม มรภ.พระนคร และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เข้าร่วมงานเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาอย่างยั่งยืน
"การประชุมครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับเวทีการประชุมวิชาการของไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล มีนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วทุกมุมโลก มาร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้และมุมมองจากประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ จุดประกายความคิด และสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนสอดรับกับปรัชญาและวิสัยทัศน์ของ NIDA ในการเป็น สถาบันสรรค์สร้างปัญญาของสังคม และสร้างผู้นำเพื่อไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับสากล WISDOM for Sustainable Development สร้างปัญญา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน อย่างแท้จริง"







