ร่าง พ.ร.บ.แอลกอฮอล์(ใหม่) ยกระดับอุตสาหกรรมสุรา เพิ่มศักยภาพจีดีพีไทย

ร่าง พ.ร.บ.แอลกอฮอล์(ใหม่) ยกระดับอุตสาหกรรมสุรา เพิ่มศักยภาพจีดีพีไทย

ร่าง พ.ร.บ.แอลกอฮอล์(ใหม่) ยกระดับอุตสาหกรรมสุรา สร้างจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยวระดับพรีเมียม ปลดล็อกศักยภาพเพิ่มแรงขับเคลื่อนจีดีพีไทย

ท่ามกลางสัญญาณชะลอตัวของ เศรษฐกิจไทย ร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ ซึ่งผ่านการเห็นชอบจากวุฒิสภาเมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมาโดยมีเจตนารมณ์หนึ่งที่สำคัญ คือการเปิดพื้นที่ให้ประชาสัมพันธ์สื่อสารข้อมูลสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อผู้บริโภคได้ กลายเป็นอีกหนึ่งความหวังในการปลดล็อกศักยภาพผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งรายใหญ่ และรายย่อย โดยกลุ่มผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่ายสุราพื้นบ้าน คาดกระตุ้นการเติบโตคาดขั้นต่ำ 10-20 เท่า มูลค่าตลาด 5,000 ล้านบาทภายใน 1-2 ปี อีกทั้งยกระดับประเทศไทยสู่จุดหมายแห่งการท่องเที่ยวระดับพรีเมียม เป็นกลไกผลักดันเศรษฐกิจไทยกระตุ้นการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อย่างยั่งยืนท่ามกลางแรงกดดันของสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน

ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโตที่ระดับ 2.3% แต่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กลับประเมินว่า GDP อาจขยายตัวในระดับต่ำเพียง 1.5-2% เท่านั้น จากแรงกดดันทั้งด้านการส่งออกการบริโภคในประเทศ อัตราเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และสถานการณ์ระหว่างประเทศ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับไทยโดยตรง และโดยอ้อม ร่างพ.ร.บ.แอลกอฮอล์ฉบับใหม่ จึงถูกจับตามองว่าอาจเป็นเครื่องมือเศรษฐกิจสำคัญ ที่ไม่เพียงสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย แต่หากนำมาใช้อย่างถูกต้อง กฎหมายนี้จะเป็นตัวส่งให้กลยุทธ์การท่องเที่ยวระดับพรีเมียมของประเทศไทยพุ่งไกลอย่างก้าวกระโดด ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และรายย่อยเข้าถึงโอกาสในการแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม กระตุ้นภาคการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับกระแสจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย คุณภาพ และประสบการณ์ เพื่อสร้างรายได้จากภาษีให้แก่รัฐอย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว
 

เป็นเวลา 17 ปีเต็มที่ประเทศไทยมี "พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551" เพื่อลดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และป้องกันการเข้าถึงแอลกอฮอล์ของเด็กและเยาวชน ผ่านการกำกับดูแลที่เข้มงวดเกี่ยวกับการขาย การโฆษณา และการบริโภค ทว่า เมื่อพิจารณาถึงผลสัมฤทธิ์ในการใช้กฎหมายดังกล่าว ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีการเสนอให้มีการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว ให้มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับสภาพการณ์ที่แท้จริงในปัจจุบัน 

อิสระในการสื่อสารหนุนการท่องเที่ยวไทยแบบเหนือระดับ

จากรายงานของ Oxford Economics ร่วมกับ APISWA (Asia Pacific International Spirits and Wines Alliance) พบว่า 84% ของนักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของอาหาร และเครื่องดื่มเป็นหลักเมื่อต้องเลือกจุดหมายในการท่องเที่ยว ตอกย้ำถึงความสำคัญของการสื่อสารข้อมูลอย่างโปร่งใสจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ การทราบถึงส่วนประกอบ ผู้ผลิต และแหล่งที่มาของเครื่องดื่ม รวมถึงโอกาสและความสะดวกในการเข้าถึงสถานบริการด้านเครื่องดื่มและอาหารที่มีคุณภาพ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการตลาดแต่เป็นความเชื่อมั่นและการมีส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยว

ร่าง พ.ร.บ.แอลกอฮอล์(ใหม่) ยกระดับอุตสาหกรรมสุรา เพิ่มศักยภาพจีดีพีไทย

เจษฎา ชื่นศิริกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท ทริปเปิ้ล เพิร์ล บริวริ่ง จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจคราฟต์เบียร์ไทยมาตั้งแต่ปี 2557 ปัจจุบันมี 4 ผลิตภัณฑ์ ยอดจำหน่ายราวปีละ 20 ล้านบาท เผยมุมมองว่า ไม่ได้อยากโฆษณาในลักษณะที่เป็นการเชิญชวนหรือดึงดูดลูกค้าที่ชัดเจน แต่อย่างน้อยสามารถสื่อสารแบรนด์ได้ เช่น บอกได้ว่าเป็นเบียร์ ผลิตที่ไหน จากวัตถุดิบอะไร มีเรื่องราวอย่างไร และแบรนด์ชื่ออะไร เพียงต้องการพื้นที่สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ลูกค้ารู้จัก และขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มร้านค้า โรงแรมได้มากขึ้นไม่จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มคราฟต์เบียร์น่าจะทำให้แบรนด์มีการเติบโตเพิ่มขึ้นเท่าตัว

"เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสินค้าประจำท้องถิ่นต่างๆ ในประเทศไทย ผลิตจากสินค้าเกษตรประจำท้องถิ่นและนำมาพัฒนาเป็นสินค้าที่สามารถเพิ่มมูลค่า (value-added) ได้ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ เนื่องจากนักท่องเที่ยว และผู้บริโภคล้วนมองหาประสบการณ์ท้องถิ่น (Local) ที่มีความดั้งเดิมและพื้นบ้าน" เจษฎา กล่าว

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวในกลุ่มพรีเมียมไม่ได้มองหาแค่ชายหาดที่มีวิวสวยสะดุดตา หากต้องมอบประสบการณ์ที่ดื่มด่ำกับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้อย่างลึกซึ้ง เช่น การให้ข้อมูลว่าคราฟต์เบียร์ในแก้วที่ถืออยู่ผ่านการสร้างสรรค์จากฮอปส์ที่ปลูกในไทยที่ผลิตได้จำนวนน้อย หรือเป็นสุรากลั่นจากข้าวที่คว้ารางวัลจากภาคเหนือ สามารถเปลี่ยนมื้ออาหารธรรมดาให้กลายเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของภูมิภาคที่มุ่งสู่การยกระดับสินค้าให้พรีเมียมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายของตัวเลือกคุณภาพเหนือระดับการตอบโจทย์แบบเฉพาะบุคคล และความน่าเชื่อถือในตัวผลิตภัณฑ์

นักท่องเที่ยวถึง 71% จากตลาดหลัก อาทิ จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ให้ความสำคัญกับอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) โดยหลายรายยินดีจ่ายสูงถึง 250 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อวัน (ราว 8,000 บาท) หากสถานที่นั้นสามารถมอบประสบการณ์ด้านอาหาร และเครื่องดื่มระดับพรีเมียมได้ เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้มาสร้างรายได้ให้กับประเทศ ไทยจึงควรจริงจังกับการผลักดันและยกระดับประสบการณ์การลิ้มรสอาหารและเครื่องดื่มระดับพรีเมียม ที่ครอบคลุมไปถึงผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมทั้งภายในประเทศและจากต่างประเทศ ให้เป็นส่วนสำคัญในการยกระดับคุณภาพของประสบการณ์ที่นักท่องเที่ยวจะได้รับ ผ่านการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ร้านอาหารและบาร์ที่มีคุณภาพสูง ให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเข้าถึงได้อย่างเสรี

คาดตลาดเติบโต 10-20 เท่า เกมการแข่งขันอย่างเท่าเทียมของผู้ผลิตทุกราย

ณัฐชัย อึ้งศรีวงศ์ นายกสมาคมสาโทและสุรา ให้ข้อมูลว่าประเทศไทยมีผู้ประกอบการสุราแช่ประมาณ 200 รายทั้งสุราผลไม้ สาโท ส่วนสุรากลั่น 1,000 กว่ารายส่วนใหญ่เป็นสุราขาว ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ประกอบการมีการเติบโตอย่างมากเห็นได้จากจำนวนผู้ประกอบการที่ออกบูธในงานต่างๆ จากเดิมมีเพียง 5-6 รายเพิ่มเป็น 50-60 ราย และมีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นทุกปี ตลาดมีการเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากพรรคการเมืองต่างๆ มีนโยบายส่งเสริมสุราชุมชนชัดเจน ในฐานะผลิตภัณฑ์ของไทยจากภูมิปัญญาท้องถิ่นต่างๆ ทำให้คนรุ่นใหม่หันมาให้ความสนใจในการพัฒนาธุรกิจนี้มากขึ้น และคาดว่าตลาดจะมีการเติบโตขั้นต่ำ 10-20 เท่าจากเดิม ส่วนมูลค่าการตลาดที่ประเมินขั้นต่ำน่าจะขึ้นมาอยู่ระดับ 5,000 ล้านบาท ภายใน 1-2 ปีหลังจากที่กฎหมายฉบับใหม่มีผลบังคับใช้

ประเด็นสำคัญ คือ ร่าง พรบ. ฉบับดังกล่าว มีเจตนารมณ์ที่จะเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจสามารถให้ข้อมูล หรือสื่อสารเกี่ยวกับข้อมูลของผลิตภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยอาจสามารถแสดงรูปผลิตภัณฑ์ ตราสัญลักษณ์ ส่วนประกอบ วิธีการผลิต แหล่งที่มา หรือลักษณะของผลิตภัณฑ์ ภายใต้กรอบหลักเกณฑ์ โดยปัจจุบันผู้ผลิตและผู้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จำหน่ายในประเทศไทยยังคงเผชิญข้อจำกัดอย่างเข้มงวดในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือสร้างความแตกต่างของสินค้าอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเหล่านั้นซึ่งรวมถึงผู้ผลิตไทยสามารถทำตลาดในต่างประเทศได้อย่างเสรี ด้วยการเล่าที่มาและจุดยืนของแบรนด์และสร้างเอกลักษณ์ที่ชัดเจน แต่กลับไม่สามารถสื่อสารสิ่งเดียวกันในประเทศของตนเองได้อย่างเต็มที่

"เชื่อว่าไม่เกิน 2 ปี ไทยจะมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถส่งออกสู่ตลาดโลกในฐานะสินค้าซอฟต์พาวเวอร์ได้ราว 10 ตัว ซึ่งรัฐบาลสามารถช่วยเรื่องการตลาดโดยการแนะนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทย ผ่านร้านอาหารไทยที่มีอยู่ในต่างประเทศทั่วโลกได้ จะเกิดผลได้มากกว่าการไปวางจำหน่ายบนชั้นสินค้าในห้าง" ณัฐชัย กล่าว

หากมีกติกาที่เป็นธรรม ผู้ประกอบการรายใหญ่จะสามารถนำศักยภาพด้านขนาดและปริมาณ การลงทุน และการสร้างการรับรู้ในตลาดมาสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อภาคส่วนที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ เกษตรกรรม โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันทางการสื่อสาร และประชาสัมพันธ์จากผู้เล่นระดับโลกและระดับท้องถิ่นบนพื้นฐานของคุณภาพผลิตภัณฑ์และพลังการเล่าเรื่องของแบรนด์ยังมีส่วนยกระดับทั้งระบบนิเวศของทั้งอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างมีมูลค่าและยั่งยืน

2 ประเด็นอาจเกิดความคลุมเครือ 

แม้ร่างกฎหมายฉบับใหม่จะเป็นโอกาสสำคัญของอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์ แต่ยังมีประเด็นด้านกฎหมาย 2 ประการที่อาจสร้างความไม่แน่นอนให้กับผู้ประกอบการ ประการแรกคือข้อจำกัดด้านการสื่อสารซึ่งยังคลุมเครือ โดยเฉพาะนิยามของการให้ความรู้และการประชาสัมพันธ์ สื่อออนไลน์ และเนื้อหาด้านความรู้ ขณะที่ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจนของคำว่า สิ่งใดที่จะทำให้บุคคลหนึ่งถูกจัดว่าเป็นผู้มีอิทธิพลหรือมีชื่อเสียง หรือข้อจำกัดด้านการโฆษณายังขยายไปถึงแบรนด์ที่มีลักษณะคล้ายกับแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ไม่ได้จำหน่าย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อจำกัดที่ไม่เป็นธรรมต่อผลิตภัณฑ์เหล่านั้นและส่งผลกระทบเชิงลบต่อการรณรงค์พฤติกรรมการดื่มอย่างมีความรับผิดชอบ เนื่องจากร่าง พรบ. ฉบับใหม่ ห้ามผู้ใดให้การสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมหรือเพื่อสาธารณประโยชน์แก่บุคคล กลุ่มบุคคล หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนโดยมีลักษณะเป็นการส่งเสริมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งยังไม่ได้มีการกำหนดว่าการกระทำลักษณะไหนที่ถือเป็นการส่งเสริมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ประการที่สองคือการผลักภาระทางกฎหมายให้กับผู้ค้าปลีก หากผู้บริโภคกระทำความผิด เช่น การเมาแล้วขับ อาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกลายเป็นภาระที่ไม่เป็นธรรมต่อธุรกิจ ในกรณีที่อยู่นอกเหนือการควบคุมความรับผิดควรเป็นของบุคคลที่กระทำผิดเท่านั้น ซึ่งมีกฎหมายอื่นระบุอยู่ชัดเจนแล้ว ทั้งยังเปิดช่องให้เกิดความเสี่ยงทางกฎหมาย แม้ปัจจุบันจะมีกฎหมายที่กำหนดบทลงโทษต่อการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไม่เหมาะสมอยู่แล้วก็ตาม 

ทั้งนี้ ในขณะที่รายละเอียดเพิ่มเติมกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาสิ่งสำคัญคือการร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและผู้ค้าปลีก เพื่อกำหนดแนวทางที่มีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับ ความยั่งยืน และสามารถสร้างประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายเมื่ออุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่ม สามารถมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในฐานะ Soft Power และการท่องเที่ยวแบบพรีเมียมของไทย ฉะนั้น การแก้ไขพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงไม่ใช่เพียงการปฏิรูปกฎหมายให้ทันสมัยแต่นับเป็นกลยุทธ์สำคัญของประเทศ ทั้งนี้การกำหนดกรอบกฎหมายที่ชัดเจนเพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในอุตสาหกรรม และการบังคับใช้กฎหมาย ควรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม คำนึงถึงความสมดุลระหว่างการส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจและบริบทสังคม รวมถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมายในการลดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ป้องกันการเข้าถึงแอลกอฮอล์ของเด็กและเยาวชน และเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีอายุถึงเกณฑ์ดื่มแอลกอฮอล์เข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลงกว่า 6% ใน 7 เดือนแรกของปี 2568 หากมีการผลักดันอย่างมีวิสัยทัศน์และชัดเจน กฎหมายฉบับนี้สามารถเป็นกลไกสนับสนุนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวยุคใหม่ที่สร้างประโยชน์ให้ทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ผลิต โรงกลั่น ผู้นำเข้าจากต่างประเทศ นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และที่สำคัญ เศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวม