กรมการจัดหางาน เผยมติ ครม. ผ่อนผันแรงงานเมียนมาอยู่และทำงานในไทยได้ถึง 13 ก.พ. 2570

กรมการจัดหางาน เผยมติ ครม. ผ่อนผันแรงงานเมียนมากว่า 1.8 ล้านคน อยู่และทำงานในไทยได้ถึง 13 ก.พ. 2570 เปิดแนวทางเตือนนายจ้างเร่งต่อใบอนุญาตก่อนครบกำหนด
กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เผยมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 เห็นชอบให้ผ่อนผัน แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ที่อยู่ระหว่างกระบวนการตามมติ ครม. เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2568 รวมกว่า 1.8 ล้านคน ให้สามารถอยู่และทำงานในประเทศไทยได้ต่อเนื่องถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2570
ตามมติดังกล่าว แรงงานเมียนมา จะได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและสามารถทำงานได้อีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2568 ถึง 13 กุมภาพันธ์ 2569 และหากดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดครบถ้วนภายในระยะเวลาดังกล่าว จะได้รับสิทธิขยายระยะเวลาการอยู่และทำงานต่อเนื่องอีก 2 ปี ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2570
กรมการจัดหางาน เน้นย้ำให้นายจ้างและสถานประกอบการที่มีแรงงานต่างด้าวอยู่ในความดูแล เร่งดำเนินการยื่นเอกสารและต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้เรียบร้อยก่อนกำหนด เพื่อให้แรงงานสามารถเข้าสู่กระบวนการผ่อนผันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ป้องกันความเสี่ยงจากการจ้างงานผิดกฎหมาย และช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อได้โดยไม่สะดุด โดยการผ่อนผันครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายภาครัฐในการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ และช่วยป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ควบคู่กับการส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
เปิด 4 แนวทางหลักในการเร่งรัดให้การดำเนินการแล้วเสร็จทันเวลา
กรมการจัดหางาน ได้วางแนวทางดำเนินการและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดให้นายจ้างดำเนินการโดยเร็ว ได้แก่
- ประชาสัมพันธ์และเตือนภัยเชิงรุก กรมการจัดหางานได้ดำเนินการแจ้งข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อทุกช่องทาง ทั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊กแฟนเพจกรมการจัดหางาน สื่อมวลชน รวมถึงการส่งหนังสือเตือนไปยังสำนักงานจัดหางานทั่วประเทศ เพื่อให้เร่งสื่อสารถึงสถานประกอบการในพื้นที่ พร้อมกันนี้ยังมีการจัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจ และให้คำแนะนำแบบรายกรณี
- ปรับปรุงกระบวนการให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ กรมการจัดหางานเพิ่มเจ้าหน้าที่และจุดบริการในจังหวัดที่มีแรงงานจำนวนมาก พร้อมอำนวยความสะดวกด้วยระบบดิจิทัล เช่น ระบบจองคิวออนไลน์ การติดตามสถานะผ่านแอปพลิเคชัน และช่องทางติดต่อด่วนต่างๆ เพื่อให้กระบวนการไม่ติดขัด
- เร่งบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสถานพยาบาลที่ออกใบรับรองสุขภาพให้แรงงาน เพื่อให้สามารถประสานงานและตรวจสอบเอกสารได้รวดเร็วขึ้น ลดภาระของแรงงานและนายจ้าง
- เน้นย้ำบทลงโทษและผลกระทบหากเพิกเฉย เพื่อป้องกันการละเลย กรมฯ ได้เผยแพร่ข้อมูลโทษตามกฎหมายอย่างชัดเจน หากนายจ้างไม่ดำเนินการ จะถูกปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อแรงงาน 1 คน และอาจถูกสั่งห้ามจ้าง แรงงานต่างด้าว เป็นเวลา 3 ปี ส่วนแรงงานที่ไม่มีใบอนุญาตจะถูกปรับ 5,000 – 50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศทันที
ข้อควรปฏิบัติที่นายจ้างไม่ควรละเลย
นายจำนงค์ ทรงเคารพ ผู้ตรวจราชการกรม กรมการจัดหางาน กล่าวว่า การดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งแรงงานและนายจ้าง เพราะหากพ้นกำหนด จะถือว่าการจ้างงานไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีโทษตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ เรามีความเข้าใจว่านายจ้างหลายรายอยู่ระหว่างการเตรียมเอกสาร แต่ก็ขอเน้นย้ำว่าระยะเวลาที่เหลืออยู่มีจำกัด หากไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนด จะส่งผลเสียอย่างมากต่อกิจการ เพราะแรงงานจะหมดสิทธิทำงานโดยชอบ และเสี่ยงต่อการถูกจับกุม ส่งกลับประเทศ รวมถึงนายจ้างเองก็มีความผิดและถูกลงโทษได้เช่นกัน ซึ่งมีข้อควรปฏิบัติที่นายจ้างควรรู้ เพื่อความถูกต้องและครบถ้วน ดังนี้
- ตรวจสอบรายชื่อแรงงานต่างด้าวในสังกัด และเช็กสถานะใบอนุญาตทำงาน
- ดำเนินการตรวจสุขภาพแรงงานตามเกณฑ์ที่กำหนด
- ยื่นขอต่อใบอนุญาตทำงานที่สำนักงานจัดหางาน หรือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
- ติดตามผลการพิจารณาอย่างใกล้ชิด และดำเนินการให้ครบภายในกำหนด
การต่ออายุใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าวให้ทันภายในกำหนดไม่ใช่เพียงภาระหน้าที่ทางกฎหมาย แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเสถียรภาพให้กับภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดแรงงานยังมีความต้องการแรงงานฝีมือและแรงงานระดับปฏิบัติการจำนวนมาก การดำเนินการให้ถูกต้องและครบถ้วนตามกำหนดเวลาจะช่วยลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น และรักษาความต่อเนื่องของกิจการโดยไม่เกิดช่องว่างในการจ้างงาน
“กรมการจัดหางาน มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการให้บริการ และพร้อมให้คำปรึกษาทุกขั้นตอน ขอเพียงให้นายจ้างและแรงงานตื่นตัวและเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันนี้ ซึ่งการดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอน ไม่เพียงช่วยให้แรงงานมีสถานะถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความรับผิดชอบในฐานะผู้ประกอบการที่ใส่ใจสิทธิแรงงาน สร้างภาพลักษณ์ที่ดี และวางรากฐานการจ้างงานที่ยั่งยืนในระยะยาว จึงขอความร่วมมือจากนายจ้างทุกท่านให้รีบตรวจสอบรายชื่อแรงงานในความดูแล ดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตทำงานให้ครบถ้วนโดยไม่รอจนถึงวันสุดท้าย เพราะการเร่งรัดเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อความมั่นคงของแรงงาน และความมั่นใจของธุรกิจคุณในวันข้างหน้า” นายจำนงค์ กล่าวสรุป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือ สายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694 (ตลอด 24 ชั่วโมง) และทางเฟซบุ๊กแฟนเพจกรมการจัดหางาน







