'อ้วยอันโอสถ VS เฌอเอม' เส้นทางความสำเร็จของ 2 ทายาทธุรกิจสมุนไพร

'อ้วยอันโอสถ VS เฌอเอม' เส้นทางความสำเร็จของ 2 ทายาทธุรกิจสมุนไพร

ชวนไปดูเส้นทางความสำเร็จของธุรกิจครอบครัว "อ้วยอันโอสถ" และ "เฌอเอม" กับการสานต่อกิจการสมุนไพรไทยให้เข้ามาอยู่ในใจคนรุ่นใหม่ และยังครองใจคนทุกเพศ ทุกวัย

ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย แต่การรับไม้ต่อของ 2 ทายาทธุรกิจสมุนไพร "อ้วยอันโอสถ" และ "เฌอเอม" ยังคงส่งมอบคุณค่าดั้งเดิมที่ผู้นำธุรกิจได้สร้างไว้ โดยปรับใช้เทคโนโลยีและกลยุทธ์รูปแบบใหม่ในการบริหารงานต่อไปได้อย่างกลมกลืน

"อ้วยอันโอสถ" ตำนานแบรนด์ยาสมุนไพร 7 ทศวรรษ

บริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยาสมุนไพร ดำเนินกิจการเริ่มแรกมาตั้งแต่รุ่นปู่ จนปัจจุบันถึงทายาทรุ่นที่ 3 ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจยาแผนไทยที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 76 ปี

ชนรรค์ สมบูรณ์เวชชการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด ทายาทรุ่น 3 ที่เข้ามารับไม้ต่อธุรกิจครอบครัว เล่าว่า ปู่เดินทางมาจากกวางโจว เข้ามาเป็นลูกจ้างร้านขายยาจนสามารถสอบเป็นแพทย์ และเภสัชกรแผนโบราณที่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการโรคศิลป์ยาจีน เมื่อเก็บเงินได้มากพอ จึงเปิดร้านขนาด 1 คูหา บริเวณเชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า จำหน่ายยาแผนปัจจุบันและแผนโบราณมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 โดยตั้งชื่อว่า "อ้วยอันโอสถ" ซึ่งในภาษาจีนแปลว่า "สะอาดและปลอดภัย" ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขายึดมั่นในการทำธุรกิจ สมุนไพรไทย มาจนถึงทุกวันนี้ 

การปรับโฉมครั้งใหญ่ของแบรนด์ 76 ปี

ชนรรค์ กล่าวต่อไปว่า ถ้าเปรียบเทียบ อ้วยอันโอสถ เป็นคน ด้วยอายุของแบรนด์ก็ไม่ต่างกับผู้สูงวัย แต่หลังจากรีแบรนด์ครั้งใหญ่ ปรับเปลี่ยนตั้งแต่โลโก้ เน้นตัวอักษร "อ้วยอัน" ให้โดดเด่นขึ้น เพื่อสร้างความจดจำ "ชื่อแบรนด์" ให้กับผู้บริโภค และเปลี่ยนแพ็กเกจจิงให้ดูดีขึ้น แม้จะเป็นของโบราณ แต่ก็อยู่ในรูปลักษณ์ที่ทันสมัยได้

"อยากลบภาพที่คนมักคิดว่า สมุนไพรต้องขม เก่า โบราณ แต่อยากทำให้สมุนไพรใช้ได้กับทุกเพศ ทุกวัย อยากให้คนหันกลับคืนสู่ธรรมชาติ ปรับทัศนคติใหม่ว่า กินยาสมุนไพรแล้วไม่เชย"

สำหรับ "ชนรรค์" จบปริญญาตรีและปริญญาโท ด้าน Food Science and Technology ที่ The Ohio State University, Columbus สหรัฐอเมริกา เข้ามาทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายเทคนิคและฝ่ายต่างประเทศ ดูแลด้านการควบคุมคุณภาพ มาตรฐานโรงงาน คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมถึงการนำเข้าและส่งออกสินค้า ต่อมาผู้เป็นพ่อเลื่อนตำแหน่งให้เป็นกรรมการผู้จัดการ ดูแลทุกด้านในฝ่ายผลิต ควบคุมคุณภาพ กฎหมาย การขึ้นทะเบียนยา และการคิดค้นสูตรยาใหม่ๆ โดยภารกิจสำคัญที่ได้รับมอบหมายเป็นอันดับแรกคือ การพัฒนา สมุนไพรไทย ให้ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนยุคใหม่และจับกลุ่มตลาดเฉพาะทางมากขึ้น 

ธุรกิจครอบครัว ถือเป็นความท้าทาย เพราะการเปลี่ยนพฤติกรรมเดิมๆ เป็นสิ่งที่ยาก แม้ "ชนรรค์" จะไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกนานกว่า 15 ปี แต่ช่วงเวลาที่ห่างหายไป เขาไม่ได้ลืมคุณค่าขององค์กรที่คนรุ่นเก่าได้สร้างไว้ 

"ผมจะไม่เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร แม้จะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วย ก็ยังดูแลกันเหมือนครอบครัว โดยผู้บริหารต้องทำงานกับทุกคนได้ เข้าถึงพนักงานได้ ช่วยลดช่องว่างในการทำงาน การสื่อสารก็จะดีขึ้น งานก็จะดีตามไปด้วย ผมมองว่าคนที่จะมาสานต่อธุรกิจครอบครัว ต้องมีความเข้าใจในองค์กรอย่างแท้จริง และเก็บรักษาคุณค่านี้ไว้ให้ได้ นี่คือหัวใจสำคัญในการบริหารธุรกิจครอบครัว"

ทายาท "ยาตราใบโพธิ์" สู่ความท้าทายในการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ 

หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า "ยาสมุนไพรตราเฌอเอม" ที่มีวางจำหน่ายอยู่ตามร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ มีต้นตำรับมาจาก "ยาตราใบโพธิ์" ยาสมุนไพรไทยแผนโบราณที่มีชื่อเสียงในเรื่องของสรรพคุณการรักษามายาวนานกว่า 100 ปี ปัจจุบัน "อัครพัจน์ ตั้งตรงจิตร" ได้เข้าต่อยอดพัฒนาแบรนด์ใหม่ในฐานะผู้บริหารห้างหุ้นส่วนจำกัด จิสประพัจน์ 

สำหรับ "อัครพัจน์" จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ไปศึกษาต่อปริญญาโทที่ Eastern Michigan University สหรัฐอเมริกา ในสาขา MBA Finance เมื่อเรียนจบจึงนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับ กลับมาช่วยงานธุรกิจครอบครัว 

หลังจากจบการศึกษากลับมาที่ไทย เขาได้ลองเข้าไปศึกษาเรียนรู้งานภายใน บริษัท ยาตราใบโพธิ์ ซึ่งเป็นธรรมดาของคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่อยากปรับเปลี่ยนการบริหารงานแบบเดิมๆ และพัฒนาการบริหารงานด้วยองค์ความรู้ นวัตกรรมใหม่ๆ แต่ด้วยวัยวุฒิในขณะนั้น อาจทำให้ความคิดเห็นของเขายังไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร

เมื่อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการบริหารงานภายในบริษัทฯ ได้ดั่งที่ตั้งใจ "อัครพัจน์" เข้าใจเจตนารมณ์ของผู้บริหารที่อาวุโสกว่า จึงตัดสินใจปรึกษาหารือกับผู้เป็นพ่อ เพื่อตั้งบริษัทใหม่ของตนเอง นั่นก็คือ หจก.จิสประพัจน์ ผู้ผลิตยาสมุนไพรตรา "เฌอเอม" และเพราะเล็งเห็นโอกาสในตลาด สมุนไพรไทย จึงเริ่มก่อตั้งโรงงานใหม่ขึ้นในปี พ.ศ. 2544 และผลิตภัณฑ์แรกจากโรงงานใหม่แห่งนี้ก็คือ ยาดมสมุนไพร ตราเฌอเอม

แม้ครอบครัวจะมีธุรกิจยาสมุนไพรอยู่แล้ว แต่การมาเริ่มต้นธุรกิจใหม่ของตัวเอง ทำให้ "อัครพัจน์" เหมือนต้องเริ่มต้นจากศูนย์ ลงมือทำ ลงมือเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งในแง่ของการบริหารงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการตลาด

"ในช่วงแรกๆ ของการทำธุรกิจ บรรดาร้านขายยา ร้านขายของชำ ร้านสะดวกซื้อ ต่างเป็นฝ่ายเข้ามาติดต่อซื้อขายกับบริษัทฯ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สังคมมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนามากขึ้น ผู้คนมีทางเลือก มีอำนาจในการตัดสินใจซื้อมากขึ้น ส่งผลให้อำนาจการต่อรองย้ายไปอยู่กับร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อมากขึ้น แต่ หจก.จิสประพัจน์ ไม่หยุดที่จะสร้างความได้เปรียบ เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง ทั้งการพัฒนาสินค้า คิดค้นสูตรยาใหม่ๆ รวมถึงเพิ่มผลิตภัณฑ์หลากหลายออกสู่ตลาด และขยายฐานการรับรู้ด้วยการโฆษณา ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์" 

อัครพัจน์ ทิ้งท้ายว่า เราต้องรู้ว่า เราจะเป็น CEO หรือเราจะเป็นเถ้าแก่ ถ้าเป็นเถ้าแก่ ต้องยืนอยู่หน้าร้าน แล้วสั่งลูกน้องตลอดเวลา ถ้าเป็น CEO ก็ให้นโยบายไป แล้วให้เขาไปพัฒนา จากนั้นก็แค่ชี้นำ ซึ่งบางอย่างต้องยอม "เสีย" เพื่อพัฒนาคนให้เก่งขึ้น และในอนาคตเราก็จะเหนื่อยน้อยลง

นี่คือต้นแบบ ธุรกิจครอบครัว ของ 2 ทายาทธุรกิจ สมุนไพรไทย ที่มีแนวคิดจะพัฒนาธุรกิจให้เติบโต ควบคู่กับการบริหารธุรกิจครอบครัว โดยสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ในภาพจำแบบเก่า เพื่อสืบทอดธุรกิจเก่าแก่มานานหลายสิบปีได้เป็นอย่างดี