ร้อง ป.ป.ช. สอบกระบวนการสรรหา เลขาธิการ กสทช. มิชอบด้วยกฎหมาย

ร้อง ป.ป.ช. สอบกระบวนการสรรหา เลขาธิการ กสทช. มิชอบด้วยกฎหมาย

ร้อง ป.ป.ช. สอบกระบวนการสรรหา เลขาฯ กสทช. มิชอบด้วยกฎหมาย จับพิรุธ ประกาศ ประธานเบิ้ลโหวต รวบอำนาจตัดสินแต่เพียงผู้เดียว

"นายอิทธิพล แสงสุรินทร์" หัวหน้าสำนักงาน ส. ปิยะธรรมทนายความ เดินทางเข้ายื่นหนังสือที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ (ป.ป.ช.) เรียกร้องให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่กำหนดวิธีการสรรหา เลขาธิการ กสทช. คนใหม่ อย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่โปร่งใส โดยออกประกาศให้ตนเอง (ประธาน กสทช.) มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว ในการดำเนินการคัดเลือก และเสนอชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือก เสนอต่อคณะกรรมการ กสทช. คนอื่น ทำหน้าที่เพียงเห็นด้วยหรือไม่เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ในการคัดเลือกผู้สมัครแต่อย่างใด ซึ่งขัดต่อหลักกฎหมายระเบียบปฏิบัติ ที่ต้องมีธรรมาภิบาลที่ดีขององค์กรอิสระ เนื่องจากกระบวนการดังกล่าว มิได้สะท้อนความโปร่งใสของขั้นตอนที่เปิดกว้างและตรวจสอบได้ แตกต่างจากการสรรหาเลขาฯ ครั้งก่อน เมื่อปี 2554 ที่คณะกรรมการ กสทช. ทุกคนมีสิทธิ์และมีส่วนร่วมในกระบวนการอย่างเท่าเทียมกัน 

ประธานเบิ้ลโหวต ผูกขาดอำนาจสรรหาเลขาฯ ใหม่ 

สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566 มีการจัดประชุมคณะกรรมการ กสทช. (บอร์ด) นัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2566 เรื่องพิจารณากำหนดคุณสมบัติอื่นของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ กสทช. โดยประธาน กสทช. นายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ เสนอต่อที่ประชุมบอร์ดว่า ประธาน กสทช. จะเป็นผู้เสนอชื่อผู้ที่ผ่านคุณสมบัติในการสมัครเลขาธิการแต่เพียงผู้เดียว แล้วถึงจะส่งต่อให้แก่คณะกรรมการลงความเห็นชอบ โดยประธานอ้างอิงถึง พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 มาตรา 61 ที่ว่า ให้ประธานกรรมการ โดยความเห็นชอบของ กสทช. เป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนเลขาธิการ กสทช. โดยที่ประชุมมีความเห็นไม่ตรงกัน ต้องใช้วิธีการโหวตลงคะแนนเสียง ซึ่งการลงคะแนนของคณะกรรมการ เสียงเท่ากันที่ 3:3 แต่ประธานฯ ออกเสียงซ้ำอีกครั้ง ส่งผลให้คะแนนโหวตกลายเป็น 4:3 เพื่อให้ตนเองสามารถคัดเลือกและเสนอชื่อผู้ที่จะเป็นเลขาฯ ได้แต่เพียงผู้เดียว

จับพิรุธเงื่อนไขการสรรหา ระบุ ประธานจิ้มชื่อ บอร์ดแค่ลงความเห็น

ในวันที่ 17 มีนาคม 2566 ประธาน กสทช. ได้ออกประกาศ เรื่องรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ซึ่งมีข้อที่น่ากังขาเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การคัดเลือก ข้อ 8 และข้อ 9 

ข้อ 8 การประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือก ระบุว่า ประธาน กสทช. จะแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติบุคคล เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ กสทช. แต่จากนั้น ประธานจะเป็นผู้ประกาศรายชื่อผู้ที่มีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่ได้ผ่านการร่วมพิจารณาของคณะกรรมการบอร์ด กสทช. ทั้งหมด

ส่วนข้อ 9 หลักเกณฑ์และวิธีคัดเลือกและการประกาศผลการคัดเลือก ระบุว่า ประธาน กสทช. เป็นเพียงผู้เดียวที่จะดำเนินการคัดเลือกโดยการประเมินจากเอกสารประกอบการสมัคร การแสดงวิสัยทัศน์และการสัมภาษณ์ จากรายชื่อที่ผ่านการคัดเลือกมาทั้งหมด จากนั้นประธานจึงจะเสนอชื่อผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ กสทช. ส่งไปยังคณะกรรมการ บอร์ด กสทช. คนอื่น ซึ่งมีหน้าที่เพียงแค่เห็นชอบเท่านั้น โดยที่คณะกรรมการ บอร์ด กสทช. คนอื่นไม่ได้มีส่วนร่วมในการคัดเลือกและเสนอชื่อผู้สมัครคนอื่นเข้าสู่การพิจารณา นอกเหนือจากผู้ที่ประธานได้เลือกไว้แล้วตั้งแต่ต้นแต่อย่างใด

เทียบประกาศสรรหา ปี 2554 ผ่านมติบอร์ดทั้งคณะ ต่างจากปี 2566 จบที่ประธานคนเดียว

จากประกาศการรับสมัครคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. เมื่อปี 2554 ข้อ 10 ระบุชัดว่า คณะกรรมการ บอร์ด กสทช. ทั้งหมด จะให้ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติเข้ามาแสดงวิสัยทัศน์ และพิจารณาคัดเลือก โดยมีการลงมติจากคณะกรรมการ บอร์ด กสทช. ทั้งหมด โดยเป็นการลงคะแนนลับ ซึ่งผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดจะเป็นผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ กสทช. ซึ่งเมื่อเทียบกับประกาศการรับสมัครคัดเลือกฯ ในปี 2566 กระบวนการในการคัดเลือกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือก การดำเนินการคัดเลือก การเสนอชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือก กลับตกมาอยู่ที่ประธาน กสทช. แต่เพียงคนเดียว คณะกรรมการ บอร์ด กสทช. คนที่เหลือมีหน้าที่เพียงว่าจะให้ความเห็นชอบเท่านั้น

ทั้งนี้ กระบวนการสรรหา เลขาธิการ กสทช. ควรจะสะท้อนถึงความโปร่งใสและเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง อันได้แก่ คณะกรรมการบอร์ด กสทช. ทั้งหมดได้มีส่วนร่วมในการพิจารณา อีกทั้ง ยังเป็นการลดความเสี่ยงจากการแทรกแซงทางการเมืองและภาคธุรกิจ เพื่อจะเป็นหลักประกันเบื้องต้นว่า เลขาธิการ กสทช. จะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะแม่บ้านของ กสทช. ในการกำกับดูแลกิจการวิทยุ โทรทัศน์และสื่อสารโทรคมนาคมอันเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีธรรมาภิบาล ตามหลักขององค์กรอิสระที่พึงมี

บอร์ดครบองค์ประชุม 7 คน ควรทบทวนมติวิธีการสรรหา เลขาฯ ใหม่อีกครั้ง เพื่อความโปร่งใส

วันนี้ 20 มีนาคม 2566 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ โดยระบุว่า บัดนี้ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง รศ.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรคมนาคม ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2566 ประกาศ ณ วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2566 โดยหากนับรวมคณะกรรมการทั้งหมด ขณะนี้ ครบทั้ง 7 คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ประกาศการรับสมัครฯ ที่ผ่านมา ที่ประธาน กสทช. ใช้สิทธิ์ดับเบิ้ลโหวต รวบอำนาจในการคัดเลือกมาไว้ที่ประธานแต่เพียงผู้เดียว ก็ควรจะมีการทบทวนและลงมติในหลักเกณฑ์การคัดเลือกใหม่อีกครั้ง จากคะแนนโหวตของคณะกรรมการทั้ง 7 คน เพื่อให้โปร่งใสและเป็นเอกฉันท์

ร้อง ป.ป.ช. สอบกระบวนการสรรหา เลขาธิการ กสทช. มิชอบด้วยกฎหมาย ร้อง ป.ป.ช. สอบกระบวนการสรรหา เลขาธิการ กสทช. มิชอบด้วยกฎหมาย