รฟท. พัฒนาโครงข่ายรถไฟ เชื่อมโยงทุกการเดินทาง

รฟท. พัฒนาโครงข่ายรถไฟ เชื่อมโยงทุกการเดินทาง

รฟท. เดินหน้าพัฒนาโครงข่ายรถไฟ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 125 เร่งผลักดันให้ “การขนส่งทางราง” เป็นระบบหลักในการเดินทาง และขนส่งของประเทศ

ปัจจุบัน การรถไฟแห่งประเทศไทย มีโครงข่ายทางรถไฟ ประมาณ 4,346 กิโลเมตร รวมถึง โครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง และก่อสร้าง โครงการรถไฟทางคู่ เพิ่มเติมพร้อมใช้งานแล้ว โดยมีการเพิ่มศักยภาพด้วยการปรับปรุงรางขยายทางให้เป็นทางคู่ เพื่อให้ทำความเร็วได้มากขึ้น ลดเวลาเดินทาง รองรับจำนวนผู้โดยสาร และปริมาณการขนส่งสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต

สำหรับโครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วนอีก 5 เส้นทางที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2565  ขณะที่รถไฟทางคู่ระยะที่ 2 อีก  7 เส้นทาง ระยะทาง 1,479 กิโลเมตร อยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการ

การก่อสร้าง “โครงการรถไฟความเร็วสูง” ของไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้มีแผนการดำเนินงานแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว  โดยระยะเร่งด่วนสายสำคัญคือ รถไฟความเร็วสูง ระยะเร่งด่วน ช่วงกรุงเทพฯ – นครราชสีมา  โดยล่าสุดก่อสร้างแล้วเสร็จ 1 สัญญา  คือช่วงกลางดง-ปางอโศก และยังมีช่วงกรุงเทพฯ - พิษณุโลก  และช่วงนครราชสีมา – หนองคาย  ส่วนระยะกลาง และระยะยาว อยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดโครงการ

การส่งเสริมศักยภาพการแข่งขัน การรถไฟฯ ได้ดำเนินการ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน  เป็นการเชื่อมโยงระหว่างท่าอากาศยานหลักของประเทศ ช่วงดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา - ระยอง

รวมทั้งการเปิดให้บริการ สถานีกลางบางซื่อ จึงเป็นการเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมทุกรูปแบบ ทั้งทางบก ทางราง และทางอากาศ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนารูปแบบการเดินทางระบบรางไปสู่อนาคต

การรถไฟแห่งประเทศไทย

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันสามารถเห็นรูปแบบการเดินทางระบบรางทั้งในเมืองและนอกเมืองที่เปลี่ยนไป อาทิ การเปิดให้บริการเดินรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ช่วยแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดและลดระยะเวลาในการเดินทางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

อย่างไรก็ตาม เมื่อการก่อสร้างรถไฟทางคู่โครงข่ายรถไฟทั้งทางไกล รถไฟความเร็วสูง  โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ขยายเส้นทางครอบคลุมทุกพื้นที่ของไทยแล้ว นอกจากจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ยังช่วยลดระยะเวลาในการเดินทาง ช่วยสร้างโอกาสพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวให้กับชุมชน เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งสินค้า ยกระดับให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาคได้ในอนาคต