"น้ํามันรั่วมาบตาพุด" เหลือ 5.3 ตัน คาดวันนี้กำจัดได้หมด

"น้ํามันรั่วมาบตาพุด" เหลือ 5.3 ตัน คาดวันนี้กำจัดได้หมด

"น้ํามันรั่วมาบตาพุด" ของ บ.สตาร์ปิโตรเลียมฯ ควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เตรียมรับมือหากเกิดกรณีฉุกเฉินหรือลมเปลี่ยนทิศ โดยบริษัท ชี้แจงเหลือน้ำมันดิบรั่วไหลกลางทะเลระยอง 5.3 ตัน คาดวันนี้กำจัดได้หมด

จากกรณี น้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเชือกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล หรือจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเล(SPM) ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งท่าเรือมาบตาพุด อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 20 กม.เหตุเกิดเมื่อเวลา 25 ม.ค.ที่ผ่านมา

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์โดยได้รับรายงานการประมาณการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลเบื้องต้นไม่เกิน 1.6 แสนลิตร หรือคิดเป็น 128 ตัน คิดเป็น 0.04% ของน้ำมันในเรือ ขณะที่เรือมีความจุประมาณ 3.2 แสนตัน

แต่อย่างไรก็ตามในภายหลังปิดวาล์วที่เกิดเหตุได้สำเร็จ เจ้าหน้าที่ได้ทำการล้อมพื้นที่น้ำมันดิบรั่วไหลในรัศมีไม่เกิน 1 ตารางกิโลเมตร พร้อมทั้งได้มีการฉีดพ่นน้ำยาขจัดคราบน้ำมัน (Oil Spil Dispersant) โดยจุดเกิดเหตุนั้นห่างจากชายฝั่งประมาณ 20 กิโลเมตร 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

เบื้องต้นประเมินสถานการณ์ "น้ํามันรั่วมาบตาพุด" ว่าจะส่งผลกระทบไม่มากนัก ส่วนท่อดังกล่าวพบว่ามีการบำรุงรักษาอุปกรณ์ตามแผนการดำเนินงานของทางบริษัทฯ มาอย่างต่อเนื่อง

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้อาจต้องดูแผนในการดูแลบำรุงรักษา รวมถึงอายุการใช้งานของท่อว่ามีอายุการใช้งานเท่าไหร่ จำเป็นต้องปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงแผนให้มีความหมาะสมหรือไม่ เพื่อจะนำข้อมูลเหล่านี้มาวางแผนกำหนดมาตรการให้เข้มงวดมากขึ้น อาจให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมคิดและวางแผนในการดูแลและบำรุงรักษาด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำขึ้นอีกในอนาคต โดยคาดว่าจะไม่เข้าฝั่ง และจะสามารถควบคุมเหตุการณ์ได้

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า หากไม่มีการควบคุมคราบน้ำมันจะขึ้นฝั่งที่หาดแม่รำพึงซึ่งสามารถควบคุมได้ประกอบเป็นน้ำมันเบาซึ่งการควบคุมจะง่ายกว่าน้ำมันหนักแบบที่เกิดเหตุในปี พ.ศ.2556 ที่ยากต่อการจัดการ

ทั้งนี้ ได้มีการฉีดพ่นน้ำยาขจัดคราบน้ำมันเพื่อเร่งการสลายคราบน้ำมันตามธรรมชาติได้เร็วขึ้น หากมีการพัดพาของคราบน้ำมันไปยังชายฝั่งและจะมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันประชาชนได้รับผลกระทบ

พลเรือตรีอาทร ชะระภิญโญ รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 กล่าวว่า ในส่วนกองทัพเรือได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ผู้บัญชาการทหารเรือได้สั่งการให้ทัพเรือภาคที่ 1 นำยุทโธปกรณ์และกำลังพลไว้คอยสนับสนุนการดำเนินงานควบคุมสถานการณ์ พร้อมทั้งเตรียมเฮลิคอปเตอร์ในการบินขึ้นสำรวจการกระจายตัวของคราบน้ำมันทั้งหมดจากบริเวณจุดขนถ่ายน้ำมัน (SPM) รวมถึงทิศทางของคราบน้ำมัน

พร้อมทั้งสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ที่ติดตัวโปรยสารเคมีควบคู่กับเรือขจัดคราบน้ำมัน ประชาสัมพันธ์ผ่าน ศร.ชล.ในจังหวัดตามชายหาดต่าง ๆ เตรียมกำลังพลสนับสนุนการจัดเก็บคราบน้ำมันหากขึ้นฝั่ง

ด้านผู้แทน นายพงษ์กรณ์ ช่อชูวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายความปลอดภัยระบบคุณภาพสิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัยและความปลอดภัย บมจ.สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุได้มีการตัดแยกระบบและส่งนักประดาน้ำไปดูในจุดที่มีโอกาสจะรั่ว ซึ่งพบว่ามีข้อต่อตัวหนึ่งที่เป็นข้ออ่อนระหว่างจุดขนถ่ายน้ำมันกับตัวท่อที่ต่อเข้ากับท่อใต้น้ำรั่วซึ่งตอนนี้ได้ดำเนินการปิดกั้นตามขั้นตอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว

โดยท่อดังกล่าวมีการตรวจสอบมาตรฐานวัสดุที่ใช้ในการผลิต มีการตรวจสอบและเปลี่ยนท่อตามระยะเวลาที่กำหนดทุก 3 ปี ซึ่งท่อดังกล่าวนี้จะถึงเวลาเปลี่ยนในเดือนเมษายน 2565 นี้ แต่เกิดเหตุรั่วไหลเสียก่อน

ทั้งนี้ บริษัทได้มีมาตรการรวมถึงระบบบริหารจัดการเพื่อป้องกันการรั่วไหลรวมถึงแผนตอบโต้ฉุกเฉินหากเกิด โดยล่าสุดจุดที่รั่วไหลมีน้ำมันรั่วไหลสูงสุดประมาณ 50,000 ลิตร หรือ 5.3 ตันในทะเล คาดว่าไม่น่าจะเกินเที่ยงวันนี้ (27 ม.ค) จะสามารถกำจัดคราบน้ำมันได้หมด