‘แกเบรียล บอริช’จากแกนนำนักศึกษาสู่ ประธานาธิบดีฝ่ายซ้ายแห่งชิลี

‘แกเบรียล บอริช’จากแกนนำนักศึกษาสู่ ประธานาธิบดีฝ่ายซ้ายแห่งชิลี

“แกเบรียล บอริช” ส.ส.ฝ่ายซ้าย วัย 35 ปี กลายเป็นประธานาธิบดีอายุน้อยสุดแห่งชิลี ด้วยคำมั่นสร้างรัฐสวัสดิการในประเทศที่ได้ชื่อว่าเหลื่อมล้ำที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง

การเลือกตั้งประธานาธิบดีชิลีรอบสุดท้ายเมื่อวันอาทิตย์ (19 ธ.ค.) แกเบรียล บอริช อดีตนักกิจกรรมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผู้เพิ่งอายุเข้าเกณฑ์ลงเลือกตั้งประธานาธิบดี เจ็ดปีหลังจากเขาได้รับเลือกตั้งทำงานการเมืองครั้งแรกในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชิลีสามารถเอาชนะโฮเซ แอนโตนิโอ แคสต์ ทนายความขวาจัดลงได้

ชิลีเคยเกิดการประท้วงครั้งใหญ่จนกลายเป็นเหตุรุนแรงนองเลือดเมื่อปี 2562 เมื่อประชาชนเรียกร้องความยุติธรรมและเท่าเทียมกันทางสังคม การเลือกตั้งครั้งนี้แคสต์ชูนโยบายลดภาษีและการใช้จ่ายเพื่อสังคม ส่วนบอริชให้คำมั่นยกเลิกตัวแบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ที่ใช้มาตั้งแต่ยุคเผด็จการออกุสโต ปิโนชต์ และถูกมองว่าเบียดขับให้คนจนและชนชั้นแรงงงาน “เข้าสู่หลุมฝังศพ”

ไม่เพียงเท่านั้นบอริชยังรับปาก “จัดตั้งรัฐสวัสดิการให้ทุกคนมีสิทธิเหมือนๆ กันไม่ว่าจะมีเงินในกระเป๋าเท่าใดก็ตาม”

ที่ต้องชูนโยบายแบบนี้เพราะชิลีได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีช่องว่างด้านรายได้สูงสุดประเทศหนึ่งของโลก ตามข้อมูลของหน่วยงานสหประชาชาติ ประชากร 1% ครอบครองความมั่งคั่ง 25% ประชาชนมีหนี้สินก้อนโต ต้องจ่ายเงินเพื่อการศึกษาและค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมดหรือบางส่วน บำนาญมาจากการเก็บออมส่วนตัวทั้งหมด

สังคมแตกแยกหนัก

“ถ้าชิลีเป็นจุดเริ่มต้นของเสรีนิยมใหม่ในละตินอเมริกา ชิลีก็เป็นหลุมฝังศพด้วย” บอริชกล่าวระหว่างหาเสียง ชายหนุ่มยุคมิลเลนเนียลผู้นี้เป็นผู้สมัครจากแนวร่วม Approve Dignity ที่มีพรรคคอมมิวนิสต์ชิลีรวมอยู่ด้วย จึงเป็นเหตุให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหลายคนไม่สบายใจ ในประเทศที่เคลือบแคลงลัทธิคอมมิวนิสต์สูงมากแต่บอริชมองข้ามความกลัวนั้น เขากล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพีในสารที่มีถึงนักลงทุนเมื่อเดือน ต.ค. ระบุ

“เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำธุรกิจหรือประเทศจะเติบโตในเมื่อสังคมแตกแยกหนักอย่างที่เป็นอยู่ในชิลี”

เขายังให้คำมั่นจะลดชั่วโมงการทำงานลงจาก 45 ชั่วโมงเหลือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เดินหน้าสู่การพัฒนาสีเขียว และสร้างงาน 500,000 อัตราให้ผู้หญิง ปฏิรูประบบบำนาญและระบบสาธารณสุขของประเทศ เพื่อให้คนจนเข้าถึงได้

บอริชสนับสนุนการปฏิวัติต่อต้านรัฐบาลเมื่อปี 2562 ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคนจากการปะทะกับตำรวจ การประท้วงครั้งนั้นกระตุ้นให้เกิดการลงประชามติส่งผลให้เกิดกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่แทนฉบับหนุนภาคธุรกิจในยุคเผด็จการ

จงทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

เมื่อปี 2554 บอริชเคยเป็นแกนนำนักศึกษาประท้วงเรียกร้องการศึกษาฟรี ผู้ที่กล่าวหาเขาบอกว่า บอริชไม่มีประสบการณ์ด้านการเมือง ซึ่งตัวเขาเองก็ยอมรับว่า ยังมีสิ่งให้เรียนรู้อีกมาก แต่ผู้สนับสนุนกล่าวว่า บอริชไม่มีสายสัมพันธ์กับชนชั้นนำเก่า ทั้งยังถูกมองเป็นปรปักษ์ นี่ถือเป็นข้อดีของเขา

ถึงวันนี้ บอริชผู้มีเชื้อสายชาวโครแอตและกาตาลัญ ทิ้งสไตล์รุงรังผมเผ้ายาวสมัยเรียน หันมาสร้างภาพลักษณ์กลางๆ ที่คนรับได้มากขึ้น แต่แม้จะสวมแจ็กเก็ตบอริชก็ยังไม่ผูกไท และไม่พยายามปกปิดรอยสัก ที่แตกต่างจากแคสต์คือบอริชสนับสนุนการสมรสเพศเดียวกันและสิทธิทำแท้ง

สำหรับประวัติส่วนตัว บอริชเกิดในปันตาอารีนาส์ ทางภาคใต้อันห่างไกลของชิลี เป็นบุตรชายคนโตในบรรดาลูกชาย 3 คน ต่อมาย้ายมาเรียนกฎหมายในเมืองหลวง แต่ก็ไม่เคยสอบทนาย เขายังไม่แต่งงาน ไม่มีบุตร เป็นนักอ่านบทกวีและประวัติศาสตร์ตัวยง

บิดาของเขา ลูอิส บอริช กล่าวกับเอเอฟพีในสัปดาห์นี้ว่า ประธานาธิบดีคนใหม่มีหัวการเมืองมาตั้งแต่เยาว์วัย มักเขียนข้อความ “มาทำให้เป็นจริง มาทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้” และ “เหตุผลสร้างความแกร่ง” บนผนังห้องนอนเมื่อตอนเป็นเด็ก

คุณพ่อวัย 75 ปี เล่าว่า ลูกชายเป็นคน “เสมอต้น เสมอปลาย” รู้วิธีรับฟังคนอื่น

“เขาต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงในสังคม เขาต้องการขจัดความอยุติธรรมทั้งหลายที่เรามีในวันนี้ เขาเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า และนั่นทำให้เขาแข็งแกร่งสำหรับปฏิบัติภารกิจ (ในฐานะประธานาธิบดี) ผมไม่สงสัยเลย”