ถอดสูตร "จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” สร้างอิสระทางการเงินโลกยุคใหม่

ถอดสูตร "จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” สร้างอิสระทางการเงินโลกยุคใหม่

ในโลกยุคอนาคต 5-10 ปี สิ่งที่ทุกคนต้องเจอ คือ โลกดิจิทัล ยุคไฟแนนซ์ 3.0 ที่เป็นสะพานเชื่อม ทุกคนในยุคนี้ไปสู่โลกยุคใหม่ ที่คนเราจะมีสองชีวิต คือ “โลกความเป็นจริง” และ “โลกเสมือน"

สิ่งที่กล่าวมานี้   "จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา" Group CEO ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด  ได้ฉาพภาพอนาคตมาตลอดเวลาและเห็นชัดมากในปีนี้  เมื่อ "คริปโทเคอร์เรนซี" จะมีบทบาทมากขึ้นในการลงทุนและมีผู้เล่นมากขึ้น

แน่นอนว่าเส้นทางดังกล่าวอง “จิรายุส”  ไม่ใช่แค่จิตนาการ ตอนนี้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า “เริ่มเกิดขึ้นแล้ว และการเกิดจะเร็วขึ้นในไทย” โดยพร้อมกับข่าวดีลยักษ์สะเทือนวงการการเงินไทย  เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2564  ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ส่งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ไทยพาณิชย์ เข้าถือหุ้น ใน bitkub Online  51% มูลค่า  ประกาศทุ่ม 1.78 หมื่นล้านบาท หนุน “bitkub” ทยานสู่ยูนิคอร์นตัวที่สาม ของประเทศไทยทันที

ถอดสูตรความสำเร็จ “bitkub”

“จิรายุส” เคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่า "เรามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เรามองเห็นโลกอนาคตจะเปลี่ยนไปทางด้านไหน เรามีความสามารถ มีทรัพยากรต่างๆ มีหลายปัจจัยที่เรามีความพร้อม" 

 และก้าวต่อไปบนยานแม่ SCBX นั้น "จิรายุส"  วางเป้าหมายว่า “Bitkub” ได้เดินมาถึงจุดที่ได้กลายเป็นโครงสร้างสำคัญของเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศไทย หรือที่เรียกว่า "Digital Economy"

ขณะเดียวกัน “จิรายุส”  เคยให้สัมภาษณ์ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ว่า ท่ามกลางความสำเร็จจนมาถึงจุดนี้ได้นั้น น้อยคนที่จะรู้ว่า "ที่ผ่านมาตนได้ผิดพลาดมาเยอะมาก ผมไม่ได้เก่งแต่ทำสิ่งนี้มานานกว่าทุกคนจะขี่จักรยานเป็น ต้องเคยล้มผมล้มมาแล้วแต่ทุกคนไม่เห็นตอนผมล้ม และไม่ทำสิ่งนั้นผิิดพลาดอีก "  

 รวมถึงในโลกยุคใหม่ “ทักษะที่สำคัญที่สุด” ที่ขาดไม่ได้  ไม่ใช่ EQ ไม่ใช่ IQ แต่คือ ‘AQ’ที่มาจากคำว่า Adaptability Quotient คือ "ความสามารถในการปรับตัวที่จะunlearnสิ่งเก่า และrelearnสิ่งใหม่ ให้ได้ ไม่ยึดติดกับสิ่งเก่าๆ เพราะโลกของเราเปลี่ยนไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ" 

       

คริปโทฯ สร้างอิสรภาพทางการเงินในโลกยุคใหม่

และในโลกที่เปลี่ยนเร็วขึ้น  หนึ่งสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากเรื่อยในปีนี้ คือ“คริปโทเคอเรนซี่” โดย “จิรายุส” กล่าวว่า  ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาของ “การรีบาลานซ์”  จะเห็นว่า ทุกคนพยายามโยกย้ายสินทรัพย์หลากหลายเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น รองรับการมาของเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต 

เนื่องจาก “บล็อกเชน” ช่วยเพิ่มอิสระทางการเงิน และการลงทุน เพิ่มโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเป็นธรรม และช่วยสร้างความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจไปยังทั่วโลกด้วยการอนุญาตให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องรอการอนุมัติจาก แหล่งใด แม้แต่ผู้ไม่มีบัญชีธนาคารก็สามารถเข้าถึงการลงทุนนี้ได้ สิ่งเหล่านี้จึงได้สร้างความโดดเด่นให้กับสกุลเงินคริปโทฯ และส่งผลให้บริษัทหลายแห่งทั่วทุกมุมโลกหันมาสนใจคริปโทและนำมาปรับใช้กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากขึ้น  

ถึงแม้ว่าการลงทุนคริปโทฯ จะมีความผันผวนสูง อย่างในปีที่แล้ว ที่มีวิกฤติการแพร่ระบาดฉับพลันทำให้ BTC ราคาต่ำว่า 4,000 ดอลลาร์และก็เพิ่มสูงขึ้นมากถึง 20,000 ดอลลาร์ก่อนสิ้นปี ไม่เพียงเท่านั้น ราคา BTC ยังคงสูงขึ้นแตะ 60,000 ดอลลาร์ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นับว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ 

ในขณะที่ราคาของคริปโทฯ เติบโตจาก 350% ถึง 650% แม้การลงทุนคริปโทจะมีความผันผวนสูง ที่สามารถสร้างทั้งโอกาสและความเสี่ยงมากกว่าทรัพย์สินในตลาดแบบดั้งเดิม แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจว่า หากเราดูราคาเพียงอย่างเดียว คริปโทฯจะมีวัฏจักรที่ทั้งราคาสูงและราคาลดลง เช่นเดียวกับสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ที่ซื้อขายกันโดยทั่วไป

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ แม้จะมีความผันผวนสูงแต่กลับมีผู้เล่นเพิ่มขึ้น 4% หรือคิดเป็น 300 ล้านคนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งได้ดึงดูดนักลงทุนตั้งแต่กองทุนรวมไปจนถึงบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ให้มาเข้าร่วมมากขึ้

“จิรายุส”  กล่าวว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ ทุกคนจะได้เห็นการใช้คริปโทฯ ในการลงทุนหลากหลายรูปแบบขึ้นอย่างแน่นอน อย่างปัจจุบันก็ได้มี NFT ไปจนถึง dApps (decentralized applications) ถือได้ว่าระบบนิเวศของสกุลเงินคริปโทนั้นเติบโตขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ อีกทั้ง การเติบโตของสกุลเงินคริปโทก็มีกรณีการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป เช่น Decentralized Finance (DeFi), สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts), Decentralized Autonomous Organizations (DAOs) และอื่น ๆ

นอกจากนี้ หากให้การส่งเสริม“ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล” มากขึ้น ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบาย เช่น การสนับสนุนเงินช่วยเหลือในวิกฤติต่างๆ  มองว่า ถ้าทำเป็น“ดิจิทัลบาท” ยิ่งทำให้เงินเข้าถึงประชาชนเร็วขึ้นแก้ปัญหาได้ทันเวลาแน่นอน และช่วย สนับสนุน“เศรษฐกิจดิจิทัล” เพื่อนำพาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าในโลกยุคใหม่