อัพเดท ศบค.ไฟเขียว "เลิกเคอร์ฟิว" ทุกจังหวัด - คงพ.ร.ก.ฉุกเฉินต่ออีก 2 เดือน

อัพเดท ศบค.ไฟเขียว "เลิกเคอร์ฟิว" ทุกจังหวัด - คงพ.ร.ก.ฉุกเฉินต่ออีก 2 เดือน

เกาะติด อัพเดท ศบค.ไฟเขียว "เลิกเคอร์ฟิว" ทุกจังหวัด - คงพ.ร.ก.ฉุกเฉินต่ออีก 2 เดือน

ศบค.แถลงเที่ยงวันนี้ 26 พ.ย. 64 นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงมติ ศบค. ชุดใหญ่ ล่าสุด ว่า สาระสำคัญ คือ ที่ประชุม ศบค. มีมติขยายประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นครั้งที่ 15 ที่จะสิ้นสุด 30 พ.ย. 2564 ออกไปอีก 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค  2564 - 31 ม.ค. 2565 

พร้อมกันนี้ มติ ศบค. ยังมีการปรับโซนสีโควิดล่าสุด หรือ การปรับระดับพื้นที่สถานการณ์นั้น จะ ไม่มีจังหวัดในพื้นที่สีแดงเข้มหรือพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดแล้ว ทำให้ทุกจังหวัดไม่มีเคอร์ฟิวหรือการห้ามออกนอกเคหสถานตามเวลาที่กำหนดแล้ว

อัพเดท ศบค.ไฟเขียว \"เลิกเคอร์ฟิว\" ทุกจังหวัด - คงพ.ร.ก.ฉุกเฉินต่ออีก 2 เดือน

รายละเอียดอัพเดท นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. กล่าวภายหลังการประชุมศบค.ชุดใหญ่ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักรเป็นครั้งที่ 15 ซึ่งเป็นการควบคุมโรคเป็นหลัก โดยที่ประชุมเห็นชอบให้มีการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต่ออีก 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 64 - 31 ม.ค. 65

ส่วนการปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ท้องที่ทั่วราชอาณานจักร โดยพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดงวดจากเดิมมี 6 จังหวัด ขณะนี้ไม่มีแล้ว, พื้นที่ควบคุมสูงสุดจากเดิมมี 39 จังหวัดเหลือ 23 จังหวัด, พื้นที่ควบคุมยังมี 23 จังหวัดเท่าเดิม, พื้นที่เฝ้าระวังสูงจาก 5 จังหวัด เป็น 24 จังหวัด และพื้นที่สีฟ้านำร่องการท่องเที่ยว 4 จังหวัด เพิ่มเป็น 7 จังหวัด

โดยพื้นที่สีฟ้า จากเดิมมี 4 จังหวัด คือ ภูเก็ต, สุราษฎร์, พังงา และกระบี่ ปรับเป็น 7 จังหวัด มีเพิ่มจังหวัด กาญจนบุรี, นนทบุรีและปทุมธานี รวมถึงมีการยกเลิกการห้ามออกนอกเขตสถานในพื้นที่สีแดงเข้มไป

อัพเดท ศบค.ไฟเขียว \"เลิกเคอร์ฟิว\" ทุกจังหวัด - คงพ.ร.ก.ฉุกเฉินต่ออีก 2 เดือน
อัพเดท ศบค.ไฟเขียว \"เลิกเคอร์ฟิว\" ทุกจังหวัด - คงพ.ร.ก.ฉุกเฉินต่ออีก 2 เดือน

ด้านการปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรค โควิด-19 ในกิจการสถานบันเทิง โดยที่ประชุมมีการใช้เวลาพอสมควรเนื่องจากว่าหากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา มีการขอให้เปิดกิจการ กิจกรรม สถานบันเทิงซึ่งมีผับ บาร์ คาราโอเกะ จากเดิมนายกรัฐมนตรีมีการเน้นย้ำว่า ไม่ได้กำหนดวันว่าเป็นวันที่เท่าไหร่ แต่หากเป็นไปได้จะให้ทันในเดือน ธ.ค. แต่ต้องดูตามสถานการณ์ ซึ่งอยากให้ไปหลังปีใหม่ ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีผู้ประกอบการผู้ที่ทำงานกลางคืนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายได้มาขอให้พิจารณาเปิดดำเนินการภายในเดือน ธ.ค. นี้ ซึ่งมีการยื่นข้อเสนอให้กับเลขา สมช. พิจารณา โดยเลขาฯ สมช. ไม่ได้นิ่งนอนใจและไม่ได้ปล่อยให้เวลาผ่านไป โดยตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีการพบปะกับทางผู้ประกอบการกับผู้ที่ได้รับผลกระทบและนำไปสู่การประชุมอีกหลายการประชุม

อัพเดท ศบค.ไฟเขียว \"เลิกเคอร์ฟิว\" ทุกจังหวัด - คงพ.ร.ก.ฉุกเฉินต่ออีก 2 เดือน
 

โดยล่าสุดมีข้อคิดเห็นหลายข้อ อาทิเหตุผลว่าถ้าจะต้องเปิดมีความเสี่ยงหลายประเด็น, สถานที่ผับ บาร์ คาราโอเกะ มีปัญหาเรื่องการถ่ายเทอากาศ, พฤติกรรมของบุคคล คือ การดื่มซึ่งมีการเปิดหน้ากากอนามัยและพูดคุยกัน ซึ่งมีการใช้เวลาและมีละอองฝอย จึงเป็นมาตรการส่วนบุคคลขึ้นมา และระยะเวลาที่อยู่นานขึ้นกว่าปกติ นี่คือสิ่งที่น่ากังวลใจในระดับบุคคล โดยที่ประชุมได้เห็นชอบว่าที่ประชุมสาธารณสุขพิจารณาแล้วเห็นควรให้ดำเนินการตามแผนงานที่กำหนดไว้เดิม คือ ม.ค. 65 จึงค่อยเปิด แต่มีการเห็นใจผู้ที่ทำกิจการนี้

จึงให้นำวันที่ 16 ม.ค. 65 ออกไป และดูความพร้อมเป็นระยะหากผู้ประกอบการดำเนินการทำงานด้านสถานบันเทิงให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่อาจจะได้เร็วกว่า 16 ม.ค. ซึ่งต้องดูทั้งสิ่งแวดล้อมและตัวบุคคล มาตรการการป้องกันควบคุมโรคของผับ บาร์ คาราโอเกะ ที่อยากจะเปิดจะต้องมี Covid free setting เน้นเรื่องบุคคลเรื่องลูกค้าและเรื่องสิ่งแวดล้อมซึ่งต้องช่วยกัน

ซึ่ง Covid free setting โดยเฉพาะผู้ประกอบกิจการผับ บาร์ คาราโอเกะ มีเวลาในการเตรียมตัว เตรียมบุคคล เตรียมสถานที่ให้พร้อมโดยเร็วหากตอบคำถามกับทางคณะที่ปรึกษาหรือสาธารณสุขได้ในเรื่องต่างๆเหล่านี้ก็มั่นใจได้ว่ากิจการ กิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงแบบนี้จะได้กลับมาในการดำเนินกิจการ

โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้ทางกระทรวงแรงงานไปสำรวจผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่ทำงานด้านนี้ว่ามีทั้งหมดจำนวนเท่าใด และให้ทางผู้ที่เกี่ยวข้องทางกระทรวงการคลัง, สภาพัฒน์ได้มาดูว่ามีการเยียวยาอย่างไร โดยรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ระบุว่า บ่ายนี้ได้นัดประชุมผู้ประกอบการด้านนี้เพื่อที่จะได้มาหารือปรึกษาหาทางออกด้วยกัน

ส่วนการปรับมาตรการป้องกันการควบคุมโรคโควิด-19 สำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ซึ่งนโยบายของนายกรัฐมนตรีให้มี Sandbox ซึ่งผู้ที่เดินทางเข้ามาด้วยวิธี Test and Go ที่ไม่ต้องกักตัวนั้นพบว่าติดเชื้อน้อยมาก พบค่าเฉลี่ย 0.08% เข้ามา 64,493 ราย พบติดเชื้อ 45 ราย ซึ่งจากเดิม เป็นการตรวจด้วย RT-PCR โดยที่ประชุมกระทรวงสาธารณสุขมีการปรับให้ตรวจ ATK และไปได้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน

ขณะเดียวกันเดิมมีการตรวจทางอากาศเท่านั้นแต่ขณะนี้มีการเพิ่มทางบกและทางเรือ โดยทางบกนำร่องที่ด่านหนองคายเริ่ม 24 ธ.ค.นี้ และทางเรือกรณีต้องการลงจากเรือให้ดำเนินการตามเกณฑ์ คือ ทุกคนต้องได้รับวัคซีนและมีการตรวจ RT-PCR 72 ชั่วโมง มีระบบลงทะเบียนหรือผ่านระบบ Thailand pass ตรวจ RT-PCR 1 ครั้งของทุกคนบนเรือ

โดยที่ประชุมได้ออกมาเป็นข่าวดีว่ารูปแบบของเอกสารรับรองวัคซีนแบบอิเล็กทรอนิกส์สามารถดำเนินการได้แล้วโดยใช้แอพพลิเคชั่นหมอพร้อม ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับประเทศที่รับเป็นแบบรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ด้วย โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่าเดิมมีค่าใช้จ่ายแต่ขณะนี้ไม่มีแล้วนโยบายนายกรัฐมนตรีขอให้เป็นของขวัญปีใหม่กับประชาชน ซึ่งการใช้แบบอิเล็คทรอนิกส์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่จะเดินทางออกไปต่างประเทศ ส่วนสมุดที่เป็นรูปเล่มยังจำเป็นต้องมีค่าทำเนียมเพียง 50 บาท ซึ่งจะเริ่มเมื่อไหร่นั้นจะให้ทางนายอนุทินเป็นผู้แจ้งให้ทราบอีกครั้ง

ส่วนเรื่องสถานการณ์แรงงานในประเทศและความก้าวหน้าในการนำแรงงานเข้าประเทศโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้นำข้อมูลของการจับลักลอบผู้ที่เดินทางเข้ามาอย่างผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศบ่อยมาก ครั้งที่ผ่านมาได้นำนโยบายของนายกรัฐมนตรีว่ามี 8 ขั้นตอนในการดำเนินการนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาตามระบบ MOU อย่างถูกกฎหมาย เพื่อตอบสนองความต้องการเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงของการแพร่โรค

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานนำเสนอว่าเป้าหมายของแรงงานที่ประเทศไทยต้องการแรงงานคือ 424,703 คน ที่จะดำเนินการในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ซึ่งมีการเปิดพื้นที่กักตัวแล้ว 5 จังหวัด คือ ที่ตาก, ระนอง, หนองคาย, มุกดาหาร และสระแก้ว ซึ่งได้มีการพูดคุยกับประเทศต้นทางแล้วทั้งลาว กัมพูชาและเมียนมา ซึ่งมีความคืบหน้าเห็นสอดคล้องกันระหว่างสองประเทศและจะมีการดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

ซึ่งผู้ประกอบการและผู้ที่ลักรอบนำแรงงานเข้ามาไม่ต้องทำแล้ว อีกไม่นานนี้จะเข้าเมืองมาอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ซึ่งปลอดโรคปลอดภัยจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องนำลักลอบเข้ามา