บลจ.วรรณ แนะจัดพอร์ตลุยตปท. ชู4 ธีมลงทุนปี65โตแรง

บลจ.วรรณ แนะจัดพอร์ตลุยตปท. ชู4 ธีมลงทุนปี65โตแรง

บลจ.วรรณ มองการลงทุนปี65 สินทรัพย์เสี่ยงและลงทุนต่างประเทศ ยังทำผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่อง เน้นลงทุนยาวและกระจายความเสี่ยงให้มากที่สุด ด้วย 4 เทรนด์เติบโตแรง "หุ้นโลกยุคใหม่-หุ้นรับดบ.ขาขึ้น -หุ้นยั่งยืน -สินทรัพย์ทางเลือกโตพร้อมเงินเฟ้อ "

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  วรรณ จำกัด หรือ บลจ.วรรณ  เปิดเผยว่า ในปี 2565 ยังเป็นโอกาสที่จะลงทุนใน “สินทรัพย์เสี่ยง”  โดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศ ยังสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องจากปีนี้  จากปัจจัยดอกเบี้ยยังอยู๋ระดับต่ำและการเริ่มลดคิวอีของเฟดตั้งแต่เดือนพ.ย.นี้

ขณะเดียวกัน ผลตอบแทน “สินทรัพย์เสี่ยง” จะปรับขึ้นแรงทุกครั้งที่เศรษฐกิจฟื้นจากวิกฤติ โดยสินทรัพย์เสี่ยงจะเป็นกลุ่มสินค้าคอมมูนิตี้ ที่น่าสนใจ ได้แก่  น้ำมัน ทองคำ หรือแม้แต่ บิทคอยน์ ถ่านหิน การเดินเรือ ที่ให้ผลตอบแทนในปีนี้มากกว่าหุ้น 

สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนปี 2565 ที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวแบบตัว K  นักลงทุนต้องเน้นลงทุนระยะยาวและกระจายการลงทุนให้มากที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน สร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอ  เนื่องจากในปีหน้ายังมี 3 ความเสี่ยงของโลกที่นักลงทุนยังคงต้องเผชิญ คือ “หนี้สาธารณะยังอยู่ในระดับสูงขึ้น เงินเฟ้อนานกว่าที่คาด การเมืองทั่วโลก”  

แนะนำ ลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงใน 4 ธีมหลัก คือ 1.ธีมหุ้นที่เติบโตตามเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลกสู่ยุคใหม่  เช่น เอไอ โดรน บ็อกเชน เมตาเวิร์ส เฮลธ์เทค ไบโอเทค  2.ธีมหุ้นรับการฟื้นตัวเศรษฐกิจ และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นระยะ 3 ปีข้างหน้า ได้แก่ สถานบันการเงิน ไฟแนนซ์ และฟินเทค  3. ธีมหุ้นความยั่งยืน หรือ ESG จะเป็นเทรนด์ที่มาใน 10 ปีข้างหน้า และ4. ธีมลงทุนสินทรัพย์ทางเลือกที่เติบโตพร้อมกับเงินเฟ้อ ได้แก่ สินทรัพย์ดิจิทัล ทอง น้ำมัน กองทุนอสังหาริมทรัพย์  

จัดพอร์ตลงทุน สัดส่วน 45-55% หุ้นขนาดใหญ่ทั่วโลก หุ้นขนาดกลางและเล็ก หุ้นเอเชีย (หุ้นญี่ปุ่น และหุ้นจีน)  ,สัดส่วน 30-40%  ในส่วนนี้มีหุ้นไทยติดไว้ 10%  ที่เหลือเป็น หุ้นอาเซียน (เวียดนาม)  และสัดส่วน 10-20% เป็นสินทรัพย์ทางเลือก ได้แก่ ทองคำ น้ำมัน และกองทุนอสังหาริมทรัพย์

ส่วนการลงทุนหุ้นไทยในปี 2565 คาดดัชนีมีโอกาสปรับขึ้นไปแตะ 1,800 จุด จากสิ้นปีนี้คาดว่าดัชนีอยู่ที่ 1,720 จุด และปรับตัวลดลงไม่ต่ำกว่าแนวรับ 1,650 -1,600 จุด ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนมากกว่าหุ้นสหรัฐที่ราคาปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว