เลขาฯ หอการค้า วอนระวังผลกระทบจากการพิสูจน์ "บั้งไฟพญานาค"

"ดวงใจ" เลขานุการหอการค้าจังหวัดหนองคาย วอนผู้ที่ต้องการพิสูจน์ "บั้งไฟพญานาค" คิดให้เยอะ ผลกระทบตามมามาก ทั้งความสัมพันธ์และศรัทธา

เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 64 นางดวงใจ สุขเกษมสิน เลขานุการหอการค้าจังหวัดหนองคาย เปิดเผยว่า ตนมาอยู่ที่ จ.หนองคาย ตั้งแต่ปี 2527 ชาวหนองคายบอกว่าวันออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 จะมีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้น ตนก็ได้ไปดูบั้งไฟพญานาค นั่งรอประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็อธิษฐานว่าถ้ามีจริงขึ้นมาให้ดูหน่อย ไม่นานก็ขึ้นมาให้เห็นต่อหน้า และยังไม่มืดด้วย มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าขึ้นมาจากกลางน้ำโขง และจำนวนบั้งไฟก็ขึ้นเยอะกว่าทุกวันนี้ แต่ยืนยันได้ว่าไม่ใช่การยิงปืน เพราะบั้งไฟพญานาคขึ้นกลางน้ำโขงต่อหน้าเลยซึ่งตอนนั้นคนไม่เยอะ

ส่วนกรณีที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ที่ เพจพิสูจน์บั้งไฟพญานาคว่าเป็นการยิงปืนถ้าดูจากคลิปของเพจก็ไม่เถียงเพราะมีหางเหมือนการยิงจริง แต่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับศรัทธา คนที่มาหนองคายมาดูบั้งไฟพญานาค ตามปรากฏการณ์ธรรมชาติ ก็ดึงคนที่มีความเชื่อต่อพญานาค ศรัทธาว่าพญานาคมีจริงทำให้คนหลั่งไหลมาดูที่หนองคายเยอะมาก ถ้าไม่ติดว่ามีโควิด 19 ปีนึงคนไม่ต่ำกว่า 2-3 แสนคน ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้ชาวบ้านแต่ละครั้งเป็นร้อยล้านบาท เป็นบารมีของพญานาคตามความเชื่อ แต่การที่ยิงปืนก็อาจจะมีเป็นการยิงเฉลิมฉลองวันออกพรรษา บางทีฝั่งไทยก็มีจุดพลุด้วย ส่วนคนที่ไม่ศรัทธาก็พยายามหาจุดที่จะบอกว่าไม่ใช่ จึงไม่เห็นของจริง

อย่างไรก็ตาม ประเด็นแบบนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การที่เราจะพิสูจน์อะไรอย่างหนึ่งจะต้องคิดก่อนว่าสิ่งที่เราพิสูจน์จะเกิดอะไรตามมา ผลกระทบจะมีอะไรบ้าง ควรจะฉลาดคิดนิดนึง เวลาที่เราเถียงกันว่าเป็นการยิงหรือเป็นธรรมชาติเรื่องจะไปจบตรงไหน ที่แน่ ๆ คือได้ทะเลาะกัน ไม่มีข้อยุติ ดังนั้นคนที่ทำเรื่องนี้ อย่างน้อยไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทยประเทศเดียวแต่ไปเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นมหามิตรด้วย ประชาชนสองฝั่งโขงไทยลาวมีความเชื่อเรื่องบั้งไฟพญานาคจะเกิดผลกระทบด้านจิตใจของคนที่เชื่อและศรัทธา คนที่ไม่เชื่อและอยากพิสูจน์ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ อยากฝากว่าใครก็ตามที่จะทำเรื่องพวกนี้ต้องคิดให้เยอะถึงผลกระทบที่จะตามมาด้วย และมั่นใจว่าปีหน้าคนจะมามากกว่านี้อีก