โครงการพระราชดำริ ร.9 ช่วยเกษตรกรสร้างงานสร้างรายได้สู้โควิด-19

โครงการพระราชดำริ ร.9 ช่วยเกษตรกรสร้างงานสร้างรายได้สู้โควิด-19

เกษตรกรปลื้มโครงการพระราชดำริ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ยึดเศรษฐกิจพอเพียงสร้างงานสร้างรายได้สู้โควิด-19

ตลอดระยะเวลาการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กว่า 70 ปี ที่ทรงปกครองอาณาประชาราษฎร์ด้วยทศพิธราชธรรม ทรงสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติอันพึงประจักษ์จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและต่อยอดพระราชดำริ ด้านต่าง ๆ จากพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อช่วยเหลือราษฎรซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 4,800 โครงการ โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เป็นหน่วยงานกลางในการประสานงานกับส่วนงานที่เกี่ยวข้องในการสนองพระราชดำริ มีผลสัมฤทธิ์ปรากฎผลอย่างเป็นรูปธรรมทั้งด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ พัฒนาดิน ป่าไม้ การเกษตร อาชีพ เพื่อสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นและใช้เป็นต้นทุนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและอาชีพของราษฎร 

โครงการพระราชดำริ ร.9 ช่วยเกษตรกรสร้างงานสร้างรายได้สู้โควิด-19

ดังกรณีของ นายธีรพงศ์ ชาญแท้ เกษตรกรขยายผลศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเดิมมีอาชีพทำงานก่อสร้างหลังเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับโครงการแกล้งดินและการปลูกพืชแบบผสมผสานจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ต่อมาจึงนำมาปฏิบัติใช้โดยปลูกข้าวสลับกับทำนาผักบุ้ง ทำให้มีข้าวกินเพียงพอตลอดทั้งปี 
“ส่วนผักบุ้งเก็บขายเป็นรายได้ รายวัน ๆ ละประมาณ 400 บาทต่อวัน พื้นที่ส่วนหนึ่งปลูกผัก และไม้ให้ผลเป็นรายได้รายเดือนและรายปี “ดีกว่างานก่อสร้างที่ได้วันละ 260 บาท ชีวิตดีขึ้นภูมิใจที่สุดคือได้เห็นหน้าลูกหน้าเมียทุกวัน แต่ถ้าไปทำงานก่อสร้างออกจากบ้าน 6 โมงเช้าไปที่ตัวเมืองนราธิวาส บางทีไปที่อำเภอสุไหงโกลก กว่าจะกลับบ้านก็หลัง 6 โมงเย็น” นายธีรพงศ์ ชาญแท้กล่าว
 

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโลนา 2019 จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าแนวพระราชดำริที่พระราชทานไว้ เช่น เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน รวมถึงหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่เป็นคุณอเนกอนันต์ต่อการน้อมนำมาปฏิบัติใช้

โครงการพระราชดำริ ร.9 ช่วยเกษตรกรสร้างงานสร้างรายได้สู้โควิด-19

นางสาวปราณี สังอ่อนดี หนึ่งในกษตรกรหมู่บ้านรอบศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงด้านเกษตรผสมผสาน ตำบลบ้านส่อง อำเพอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา  ภายใต้การกำกับดูแลของศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา นำผลสำเร็จมาแก้ไขปัญหาในพื้นที่ดินทราย ขาดความอุดมสมบูรณ์ ด้วยการปลูกหญ้าแฝกเพื่อลดการชะล้างของหน้าดินอีกทั้งเป็นการปรับปรุงดินภายในคราวเดียวกัน รวมทั้งได้หันมาทำการเกษตรที่เหมาะสมถูกหลักวิชาการมาปฏิบัติใช้จนประสบความสำเร็จในปัจจุบัน

 “คนไทยโชคดีมากที่มีในหลวงทั้งรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 ที่ทรงห่วงใยประชาชน  ทุกวันนี้ก็น้อมนำแนวพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปฏิบัติใช้ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน และน้อมสำนึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่พระองค์ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด ทำให้บุคลากรที่ทำงานมีขวัญ กำลังใจในการช่วยเหลือเกษตรกร” นางสาวปราณี สังอ่อนดี กล่าว
 

ขณะที่นายบัญชา ฉานุ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเห็ดและผักปลอดสารพิษ และประธานแปลงใหญ่ บ้านหนองหว้า ตำบลบ้านช่อง อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา อีกหนึ่งชุมชนที่ได้น้อมนำแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาปฏิบัติใช้ เผยว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือแนวทางที่ทางกลุ่มนำมาใช้ชีวิตและประกอบอาชีพ โดยสมาชิกจะเข้าไปดูงานและรับการฝึกอบรมด้านอาชีพจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ แล้วนำมาปฏิบัติที่บ้าน จากเดิมที่ทุกคนปลูกมันสำปะหลังแบบพืชเชิงเดียวทำให้มีปัญหาเรื่องป่าไม้และดินเสื่อมโทรม ตลอดถึงราคาผลผลิตที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง จึงหันมาปลูกพืชแบบหลากหลาย มีการรวมกลุ่มกันผลิตและทำการตลาดจนปัจจุบันสามารถพัฒนาขบวนการผลิตเป็นแปลงใหญ่ชุมชนเห็ดและผักปลอดสารพิษ 

โครงการพระราชดำริ ร.9 ช่วยเกษตรกรสร้างงานสร้างรายได้สู้โควิด-19

“ทำอย่างไรก็ได้ที่แบบพออยู่พอกิน ทำจากเล็กไปหาใหญ่ ไม่จำกัดว่าต้องทำตามตำราทั้งหมด ทำข้างบ้านหลายบ้านรวมกันผลผลิตก็มากพอที่จะส่งขายได้ ทุกวันนี้ในชุมชนจะเน้นทำการเกษตรที่คำนึกถึงสิ่งแวลล้อม ตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9  มีความเอื้ออารีย์ต่อกัน ทุกคนมีความปลื้มใจที่พระองค์ดูแลตลอดมา มีศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ ทำให้ทุกคนมีอาชีพ มีหน่วยงานหลาย ๆ หน่วยงานเข้ามาทำให้ประชาชนสามารถเข้าไปเรียนรู้เรื่องการประกอบอาชีพตรงนั้นได้ ทำให้ชุมชนได้รับการพัฒนาในทางที่ดีขึ้นทุกคนมีกินมีใช้ไม่เดือดร้อน เราต่างรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน และจะร่วมกันทำความดีเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติต่อไป นายบัญชา ฉานุ กล่าว”