"กรมราชทัณฑ์" พบผู้ต้องขังติดเชื้อวันนี้ 80 ราย เตรียม EXIT เรือนจำ 11 แห่ง

"กรมราชทัณฑ์" พบผู้ต้องขังติดเชื้อวันนี้ 80 ราย เตรียม EXIT เรือนจำ 11 แห่ง

สถานการณ์โควิด-19 "กรมราชทัณฑ์" ผู้ติดเชื้อรักษาหายแล้ว 94.3% พร้อมเตรียม EXIT เรือนจำ 11 แห่ง ในเดือนนี้ ขณะที่ผู้ต้องขังกลุ่มเป้าหมายรับวัคซีนเข็มแรกครบแล้ว 2 แสนราย

เมื่อวันที่ 11 ต.ค.64 ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ  เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 75/2564

โดยมี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.มนตรี บุณยโยธิน รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ นางสาวศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 

นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เปิดเผยว่า ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ/ทัณฑสถานวันนี้ พบการระบาดซ้ำในเรือนจำจังหวัดนราธิวาส ส่งผลให้มีเรือนจำสีแดงเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 18 แห่ง และเรือนจำสีขาว 124 แห่ง

ขณะที่มีเรือนจำอยู่ในแผนพ้นการระบาดของโรค หรือ EXIT จำนวน 11 แห่ง โดยจะพ้นจากการระบาดในสัปดาห์นี้ 4 แห่ง ส่วนที่เหลือคาดว่าจะพ้นจากการระบาดได้ภายในเดือนตุลาคมนี้

ขณะที่ ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ พบเพิ่ม 80 ราย (พบในเรือนจำสีแดง 10 ราย และในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 70 ราย) รักษาหายเพิ่ม 463 ราย ไม่มีรายงานการเสียชีวิตในวันนี้ ทำให้มีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 1,991 ราย (กลุ่มสีเขียว 76% สีเหลือง 23.3% และสีแดง 0.7%)

โดยมีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 67,164 ราย หรือกว่า 94.3% ของผู้ติดเชื้อสะสม 71,198 ราย เสียชีวิตสะสม 158 ราย คิดเป็นอัตรา 0.2% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด

นายวัลลภ กล่าวต่อว่า ในที่ประชุม ศบค.ยธ.เช้าวันนี้ โดยมีปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ได้เน้นย้ำการทำความเข้าใจและการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการแยกกักโรคผู้ต้องขังจากภายนอก ทั้งในผู้ต้องขังรับใหม่ รับย้าย ไปศาล หรือที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล จะต้องได้รับการแยกกักตัวเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 21 วัน

พร้อมการตรวจหาเชื้อตามมาตรการโดยไม่มีข้อยกเว้น รวมถึงการบริหารจัดการวัคซีนแก่ผู้ต้องขัง โดยได้เร่งรัดให้เรือนจำและทัณฑสถานได้ดำเนินการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่ผู้ต้องขังโดยเร็ว

ทั้งนี้ ปัจจุบัน กรมราชทัณฑ์ ได้ฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังไปแล้วทั้งสิ้น 263,301 โดส เพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 17,832 โดส แบ่งเป็นการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังเข็มที่ 1 จำนวน 201,299 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 62,002 ราย ดังนั้น ถือว่าผู้ต้องขังกลุ่มเป้าหมายที่จะต้องได้รับวัคซีนเข็มแรกได้รับวัคซีนครบทุกรายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากผู้ต้องขังในส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มที่อยู่ในเรือนจำแพร่ระบาด

รวมถึงผู้ติดเชื้อที่รักษาหายแล้ว ซึ่งยังไม่สามารถรับวัคซีนเข็มแรกได้ในขณะนี้ ต้องรอการฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคอีกครั้งตามระยะเวลา โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้พร้อมกับการเริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ในกลุ่มที่ได้รับเข็มแรกไปแล้ว ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป

ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจำวันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2564 มีผู้ติดเชื้อและอยู่ระหว่างการรักษาตัว จำนวน 5 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 1 ราย และเยาวชน 4 ราย

ด้านผลการดำเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจำนวน 50 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 6 แห่ง แยกเป็นติดเชื้อ 1 แห่ง และหมดสถานะสีขาว 2 แห่ง ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 584 ราย หรือคิดเป็น 14.8% จากทั้งหมด 3,945 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนจำนวน 3,795 ราย หรือคิดเป็น 88.6% จากทั้งหมด 4,284 ราย