"เยลเลน" แนะคองเกรสเพิ่มเพดานหนี้ก่อน 18 ต.ค. เลี่ยง “หายนะทางเศรษฐกิจ”

"เยลเลน" แนะคองเกรสเพิ่มเพดานหนี้ก่อน 18 ต.ค. เลี่ยง “หายนะทางเศรษฐกิจ”

"เจเน็ต เยลเลน" ชี้ สหรัฐ อาจต้องสูญเสียเงินสดจนหมดคลัง เพื่อนำไปชำระหนี้ภายในเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์ แนะสภาคองเกรสเพิ่มเพดานหนี้ ก่อนในวันที่ 18 ต.ค. หลีกเลี่ยงผลเสียยิ่งใหญ่ที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวชี้แจงต่อนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ในวานนี้ (28 ก.ย.) ตามเวลาสหรัฐ ว่า สภาคองเกรสมีเวลาภายในวันที่ 18 ต.ค.นี้ ในการพิจารณาเรื่อง การขยายเพดานหนี้ และหลีกเลี่ยงหายนะที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศ

"สิ่งที่เราประมาณการในขณะนี้ก็คือว่า เม็ดเงินในมาตรการพิเศษของกระทรวงการคลัง จะหมดลงหากสภาคองเกรสไม่ปรับเพิ่มเพดานหนี้หรือระงับเพดานหนี้ภายในวันที่ 18 ต.ค.นี้ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น เราคาดว่ากระทรวงการคลังจะมีทรัพยากรที่จำกัดมากและจะหมดลงอย่างรวดเร็ว" นางเยลเลนระบุในจดหมายที่ส่งถึงนางเพโลซี

นอกจากนี้ นางเยลเลนยังได้กล่าวเตือนในระหว่างการแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารประจำวุฒิสภา ว่า หากสภาคองเกรสล้มเหลวในการเพิ่มเพดานหนี้ ก็จะส่งผลให้สหรัฐเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ

แม้ว่าเศรษฐกิจของเรายังคงมีการขยายตัว และการจ้างงานได้ฟื้นตัวขึ้นจากปีที่แล้ว แต่เราก็ยังคงเผชิญกับผลกระทบจากไวรัสสายพันธุ์เดลตาซึ่งยังคงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเป็นอุปสรรคต่อการมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ดิฉันยังคงมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลาง และคาดว่าสหรัฐจะมีการจ้างงานเต็มศักยภาพในปีหน้า

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า การผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐจะส่งผลให้เกิด "หายนะทางการเงิน" ซึ่งจะกดดันให้เกิดแรงเทขายในตลาดต่าง ๆ เป็นวงกว้าง อีกทั้งจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

"จำเป็นอย่างยิ่งที่สภาคองเกรสจะต้องแก้ไขปัญหาเพดานหนี้โดยเร็ว เนื่องจากความเชื่อมั่นและอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐจะได้รับผลกระทบ ขณะที่สหรัฐจะเผชิญกับวิกฤตทางการเงินและภาวะเศรษฐกิจถดถอย" นางเยลเลนระบุในแถลงการณ์

 นางเยลเลนกล่าวถึงประเด็นนี้ในระหว่างการแถลงต่อสภาคองเกรสว่า คุณจะได้เห็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหากสภาคองเกรสไม่ปรับเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งดิฉันคาดว่ามันจะส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์ และหายนะทางการเงิน และแน่นอนว่า การชำระดอกเบี้ยพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐก็จะสูงขึ้นด้วย