‘เงินบาท’ วันนี้เปิด’อ่อนค่า’ ที่33.32 บาทต่อดอลลาร์

‘เงินบาท’ วันนี้เปิด’อ่อนค่า’ ที่33.32 บาทต่อดอลลาร์

“กรุงไทย” ชี้ระยะสั้นเงินบาทยังอ่อนค่า จากแรงขายนักลงทุนต่างชาติ จากความกังวลการระบาดหลังคลายมาตรการล็อกดาวน์และผันผวนตามแรงซื้อทองในจังหวะราคาย่อลง จับตาประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ มองกรอบเงินบาทวันนี้ที่33.25-33.40บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันนี้(20ก.ย.)  ที่ระดับ  33.32 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า  ที่ระดับ 33.25 บาทต่อดอลลาร์ มองเงินบาทวันนี้ อยู่ที่ระดับ 33.25-33.40 บาทต่อดอลลาร์ และกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.00-33.50 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท คาดว่าในระยะสั้น เงินบาทยังคงถูกกดดันจากแรงขายสินทรัพย์ไทย จากความกังวลการระบาดหลังการผ่อนคลายมาตรการ ล็อกดาวน์ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติลดการเก็งกำไรเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างชาติต่างเทขายบอนด์ระยะสั้นออกมาจำนวนมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ เงินบาทอาจผันผวนตามราคาทองคำได้เช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์การประชุม FOMC ที่ราคาทองคำอาจผันผวนขึ้นได้ (ราคาทองคำปรับตัวลง ผู้เล่นในตลาดอาจเข้ามาแลกเงินดอลลาร์เพื่อซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง หรือ กล่าวโดยสรุปได้ว่า ราคาทองลง เงินบาทอ่อนค่าลง) 

ส่วนในมุมแนวโน้มเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีความเสี่ยงถูกขายทำกำไร หากเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณการลดคิวอีไปมากกว่าที่ตลาดรับรู้แล้ว นอกจากนี้ เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงต่อได้ หากเฟดแสดงความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หลังโมเมนตัมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลง

ทั้งนี้ หลังจากที่เงินบาทอ่อนค่าทะลุระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ในสัปดาห์ที่ผ่าน ทำให้กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทจะขยับอ่อนค่าลงจากช่วงก่อนหน้า โดย เงินบาทยังมีแนวต้านสำคัญอยู่ในโซน 33.30-33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่บรรดาผู้ส่งออกต่างรอเข้ามาทยอยขายดอลลาร์ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่ากลับไปที่ระดับดังกล่าวได้ขณะเดียวกัน โซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์จะเป็นแนวรับที่บรรดาผู้นำเข้ารอทยอยแลกซื้อเงินดอลลาร์อยู่

 

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์เดินหน้าแข็งค่าขึ้นจากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด รวมถึงรายงานยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ที่ขยายตัวดีขึ้นมากกว่าคาด

 

สำหรับสัปดาห์นี้ ตลาดจะรอลุ้นผลการประชุม FOMC โดยเฉพาะประเด็นการปรับลดการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ คิวอี

 

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

 

ฝั่งสหรัฐฯ – ตลาดจะจับตาการประชุมเฟดอย่างใกล้ชิด หลังจากล่าสุด โมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มชะลอลง ซึ่งเป็นไปได้ว่า เฟดอาจมองว่า ปัจจัยเชิงลบต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ อาทิ ผลกระทบของการระบาด Delta รวมถึง ความวุ่นวายทางการเมืองสหรัฐฯ จากการพิจารณาเพดานหนี้ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงชั่วคราว ในขณะที่ ทั้งอัตราเงินเฟ้อและการจ้างงาน เริ่มเข้าใกล้เป้าหมายของเฟดมากขึ้น ทำให้ในการประชุมครั้งนี้ แม้ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.00-0.25% แต่เรามองว่า เฟดอาจเริ่มส่งสัญญาณการปรับลดคิวอีที่ชัดเจนมากขึ้น ส่วนการประกาศลดคิวอี รวมถึงรายละเอียดแผนการลดคิวอีที่ชัดเจนอาจเกิดขึ้นในการประชุมเดือนพฤศจิกายน และ เฟดอาจเริ่มลดคิวอีได้จริงในเดือนธันวาคม นอกเหนือจาก การประชุมเฟด ตลาดจะจับตาแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจผ่าน รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนกันยายน ซึ่งตลาดมองว่า การฟื้นตัวของภาคการผลิตและการบริการอาจสะดุดลงเล็กน้อย ทำให้ขยายตัวในอัตราชะลอลง ซึ่งจะสะท้อนผ่าน ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการที่จะลดลงสู่ระดับ 60.8 จุด และ 55 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว)

ฝั่งยุโรป – การฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจอังกฤษ ทำให้บรรดานักวิเคราะห์มองว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจเริ่มส่งสัญญาณสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น (Tightening Policy) อาทิ อาจมีเสียงสนับสนุนการทยอยลดคิวอีมากขึ้น ทั้งนี้ ตลาดมองว่า BOE จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.10% และอาจเริ่มทยอยขึ้นดอกเบี้ยได้ในครึ่งหลังของปีหน้า หากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ตามเป้า อย่างไรก็ตาม ในฝั่งยุโรป กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคการบริการ อาจขยายตัวในอัตราชะลอลงจากผลกระทบของการระบาด Delta ทั่วโลก โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการของยุโรป ในเดือนกันยายน อาจลดลงสู่ระดับ 60.4 จุด และ 58.5 จุดซึ่งสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมนี (Ifo Business Climate) ที่จะลดลงสู่ระดับ 98.9 จุด ในเดือนกันยายน

ฝั่งเอเชีย – บรรดาธนาคารกลางในเอเชีย มีแนวโน้มที่จะคงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป เพื่อช่วยหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่เริ่มจะทยอยฟื้นตัวได้ หลังปัญหาการระบาดของ COVID-19 ในเอเชียอาจผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้วโดยในฝั่งธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.125% อนึ่ง CBC อาจทยอยส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้ หลังเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการระบาดไม่มากนัก ส่วนทางด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ -0.1% พร้อมทั้งเดินหน้าอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อสินทรัพย์ต่อ เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เริ่มดีขึ้น เช่นเดียวกับ ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.5% เพื่อช่วยพยุงการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์การระบาดเริ่มดีขึ้น อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจเผชิญความหนักใจในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.0% เนื่องจากสถานการณ์การระบาดในประเทศยังคงมีความรุนแรงอยู่ ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อก็ยังอยู่ในระดับสูง

 

ฝั่งไทย – ปัญหาการระบาดของ COVID-19 ที่มีความรุนแรงมาก ทั้งในต่างประเทศและในประเทศช่วงเดือนสิงหาคมจะกดดันให้ ยอดการส่งออกไทย (Exports) ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เหลือ +17%y/y เช่นเดียวกับ ยอดนำเข้า(Imports) ที่จะขยายตัวเพียง +40% ทั้งนี้ ดุลการค้ายังคงเกินดุลราว 1.4 พันล้านดอลลาร์