ซีเอ็นเอ็นตีข่าวไทยติด1ใน5ประเทศใช้นโยบายอยู่ร่วมกับโควิด-19

ซีเอ็นเอ็นตีข่าวไทยติด1ใน5ประเทศใช้นโยบายอยู่ร่วมกับโควิด-19

ซีเอ็นเอ็นรายงาน หลายชาติตัดสินใจใช้นโยบายอยู่ร่วมโควิด-19 โดยเปิดประเทศไปพร้อมๆกับรับมือการระบาดของโรค โดย"ไทย” เป็น 1 ใน 5 ประเทศในโลกที่ใช้นโยบายนี้ แม้ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน

  เว็บไซต์ข่าวซีเอ็นเอ็น ของสหรัฐ รายงานวันพฤหัสบดี (16ก.ย.)ว่า มีหลายประเทศในโลกที่หันมาใช้นโยบายอยู่ร่วมกับโควิด-19 หลังจากต้องปิดประเทศด้วยการล็อกดาวน์จนส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งการตัดสินใจอยู่ร่วมโควิด-19 เกิดขึ้นในช่วงที่หลายประเทศพยายามเร่งฉีดวัคซีนป้องกันให้แก่ประชาชนให้ได้มากที่สุด

   ในบรรดา5ประเทศที่ซีเอ็นเอ็นรายงาน ประกอบด้วย  เดนมาร์ก ที่ประกาศยกเลิกมาตรการเข้มงวดด้านต่างๆเพื่อสกัดการระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 10 ก.ย ที่ผ่านมา พร้อมทั้งระบุว่าโรคโควิด-19 ไม่ใช่โรคที่เป็นภัยคุกคามต่อสังคมของประเทศอีกต่อไป

เมื่อวันที่ 13 ก.ย รัฐบาลเดนมาร์กฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบโดสในอัตรากว่า 74% ของประชากรทั้งประเทศ

ต่อมาคือสิงคโปร์ 1ในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูงที่สุดในโลกคือ 81% แม้ขณะนี้สิงคโปร์กำลังรับมือกับปัญหาไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา 

ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายมาเป็นการอยู่ร่วมกับโรคระบาดนี้ให้ได้

ตามมาด้วย ไทย ที่ถึงแม้จะมีความล่าช้าในการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19ให้กับประชาชน แต่รัฐบาลไทยของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชายังคงเดินหน้าที่จะเปิดประเทศ
 

ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า อัตราความสำเร็จของการฉีดวัคซีนโควิด-19ของไทยยังตามหลังเพื่อนบ้าน โดยเว็บไซต์ ourworldindata.org รายงานเมื่อวันที่ 13 ก.ย.ว่า มีแค่ 18% ของประชากรไทยที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบโดส และมีจำนวน 21% ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแค่เข็มแรก

นอกจากนี้ มีสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ โดยรัฐบาลเริ่มต้นผ่อนคลายมาตรการจำกัดทางโควิด-19 เมื่อวันอาทิตย์(12ก.ย.)เนื่องมาจากมีอัตราการติดเชื้อต่ำลงภายในประเทศ

สุดท้ายคือประเทศชิลี ที่ได้รับเสียงชื่นชมจากนานาประเทศถึงความสำเร็จของโครงการแจกวัคซีนโควิด-19 ที่เป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ โดยกระทรวงสาธารณสุขชิลีระบุว่าประชากรในประเทศเกือบ 87% ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบโดส