ส่อง 7 "เมกะเทรนด์" เปลี่ยน "กรุงเทพฯ" สู่ "เมืองน่าอยู่" ในอีก 30 ปีข้างหน้า
![ส่อง 7 "เมกะเทรนด์" เปลี่ยน "กรุงเทพฯ" สู่ "เมืองน่าอยู่" ในอีก 30 ปีข้างหน้า](https://image.bangkokbiznews.com/uploads/images/md/2021/09/LHMXVnQU6eA9L5cLS983.jpg?x-image-process=style/LG)
"ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ" ร่วมมือ กับศูนย์วิจัย Arup Foresight and Innovation ประเทศออสเตรเลีย ศึกษาแนวโน้ม "เมกะเทรนด์" ปี 2050 เปลี่ยนพื้นที่เมือง กทม. ปริมณฑล พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สู่ "เมืองน่าอยู่" ยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีอัตราการพัฒนาความเป็นเมืองต่ำกว่า 30% เพิ่มเป็นมากกว่า 50% อย่างในทุกวันนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ประชากรของกรุงเทพมหานครเพิ่มเป็น 2 เท่า จนกลายเป็นมหานครที่เต็มไปด้วยผู้คนมากกว่า 10.5 ล้านคน
การพัฒนาสู่ความเป็นเมืองที่ขาดการวางแผนและการเกิดขึ้นของ COVID-19 นับเป็นเครื่องเตือนใจถึงความเป็นเมืองที่เปราะบางและส่งผลกระทบต่อประชาชน วิกฤตนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลต่อความเป็นเมือง
“ดร.การดี เลียวไพโรจน์” ผู้อำนวยการบริหารฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FutureTales Lab by MQDC) มองว่า อย่างไรก็ตามในสภาวการณ์ดังกล่าว ยังมีปัจจัยบวกต่อการพัฒนา อาทิ เทคโนโลยีที่กำลังเฟื่องฟู ระบบพลังงานที่เปลี่ยนไปสู่พลังงานหมุนเวียนและการขนส่งที่เริ่มใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ กำลังขยายขอบเขตใหม่ของการเชื่อมต่อทางสังคม ซึ่งล้วนเปลี่ยนแปลงและการขยายเมืองไปในทางที่ดีขึ้น
ล่าสุด ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ ร่วมมือ กับศูนย์วิจัย Arup Foresight and Innovation ประเทศออสเตรเลีย ทำการศึกษาแนวโน้มเมกะเทรนด์ (Mega Trends) ในอีก 30 ปีข้างหน้า หรือ ปี 2050 ที่เป็นตัวกำหนดอนาคตของความเป็นเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและเมืองใกล้เคียง หรือเรียกว่า Greater Bangkok ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทางด้านทิศตะวันออกไป 150 กม. เพื่อสำรวจปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและวิสัยทัศน์อันหลากหลายที่จะเป็นแนวทางเปลี่ยนแปลงให้ Greater Bangkok พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ไปสู่ "เมืองน่าอยู่" ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“ดร.ภัณณิน สุมนะเศรษฐกุล” ผู้อำนวยการวิจัยด้านการคาดการณ์อนาคต ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FutureTales Lab by MQDC) กล่าวว่า จากการศึกษาพบว่า Greater Bangkok จะเกิดการพัฒนาไปสู่ 7 เมกะเทรนด์ ที่สำคัญ ได้แก่
1. ความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคน (Wellbeing for all) การเติบโตของเมืองในกรุงเทพฯ นำมาซึ่งปัญหาสุขภาพ ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะมลพิษทางอากาศ เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้คนประมาณ 1 ใน 4 และก่อให้เกิดโรคต่อเนื่อง มีผู้เสียชีวิตคิดเป็น 13 ล้านคนทั่วโลกต่อปี ดังนั้น ทุกชีวิตมีค่าที่จะรักษาและให้ความสำคัญการสร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงาน เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคน เพราะสุขภาวะไม่ใช่แค่เราแต่รวมไปถึงสภาพแวดล้อมรอบตัว
2.ประเทศชาญฉลาด (Wise nation) คาดว่าในปี 2025 คนไทยจะมีอายุขัยสูงขึ้นเฉลี่ย 72.6 ปี (เพศชาย) และ 78.1 ปี (เพศหญิง) และมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรไทยจะมีอายุมากกว่า 60 ปีภายในปี 2050 ส่งผลให้การเติบโตของจีดีพีประเทศลดลง 0.75% ในช่วง 30 ปีข้างหน้า รายจ่ายสวัสดิการสุขภาพของผู้สูงวัยไทยเพิ่มขึ้น 4 เท่าระหว่างปี 2019 - 2022 เกิดโอกาสแรงงานสูงวัย จากการวิจัยพบว่าคนงานอายุมากกว่ามีผลงานดีกว่าคนงานคนรุ่นใหม่ในงานด้าน Soft Skills (ทักษะการจัดการ ทักษะทางสังคม และความภักดี) ซึ่งเราสามารถใช้ประโยชน์จากส่วนนี้เพื่อสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต นำไปสู่ประเทศชาญฉลาด
3.การครอบงำด้วยข้อมูล (Data dominance) Internet of Thing (IoT) ภาคเทคโนโลยีใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนามากกว่าภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างไรก็ตามการพัฒนาเมืองอัจฉริยะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตได้ โดย McKinsey and Co ประมาณการแอปพลิเคชั่นที่นำมาใช้พัฒนาเมืองอัจฉริยะในอาเซียนว่า สามารถลดการแพร่มลพิษได้ 260-270 กิโลตัน หลีกเลี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ 5,000 คน สร้างงานใหม่ 1.2-1.5 ล้านตำแหน่ง และประหยัดค่าครองชีพได้ 9-16 พันล้านดอลลาร์
4.ความโปร่งใสในทุกแพลตฟอร์ม (Platform transparency) การลุกขึ้นมาเรียกร้องของประชาชนไทยและทั่วโลกเพิ่มขึ้น 11.5% ระหว่างปี 2009-2019 ทำให้เกิดสาธารณูปโภคพื้นฐานระบบดิจิทัลที่สามารถส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการศึกษาภาครัฐมากขึ้น อันดับดัชนีความพร้อมทางด้านเครือข่ายของไทยเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จนอยู่ที่อันดับ 56 ในปี 2019 จากอันดับ 67 ในปี 2015 การเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และการใช่้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์เป็นจุดแข็งที่สำคัญของคนที่อยู่อาศัยใน Greater Bangkok ช่วยผลักดันให้นโยบายและการวางแผน จัดทำขึ้นสอดคล้องกับความต้องการของประชนชนมากขึ้น
5.จากขยะสู่อาชีพ (Waste to jobs) ภายในปี 2025 คาดว่าไทยจะมีขยะพลาสติกที่ขาดการจัดการ 3.16% ของพลาสติกทั่วโลก ก่อมลภาวะพลาสติกอันดับ 6 ของโลก ในทางตรงกันข้ามเทคโนโลยีที่เข้ามาในหลากหลายอุตสาหกรรม จะสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนและงานใหม่ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจอาเซียนและเอเชียตะวันออก พบว่า การนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ อาจส่งเสริมให้เศรษฐกิจเติบโตได้มากถึง 324 พันล้านดอลลาร์ และสร้างงานในเมืองใหญ่ต่างๆ ของเอเชียได้มากกว่า 1.5 ล้านตำแหน่ง ภายในปี 2042 รวมทั้งการแปรรูปพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ ใช้ซ้ำ พลิกสถานการณ์ของไทยในขณะนี้ได้
6.วันหยุดเพื่อสุขภาพ (Health holidays) ภาคการท่องเที่ยวมีส่วนต่อการสร้างการเติบโตของจีดีพีให้กับประเทศ คิดเป็น 21.6% ของจีดีพีทั้งประเทศในปี 2018 และได้กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางชั้นนำของโลกสำหรับคนวัยเกษียณ และนักท่องเที่ยวที่แสวงหาการดูแลสุขภาพ ผ่านอุตสาหกรรมความเป็นอยู่ที่และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-Wellbeing Industry) จนเป็นจุดหมายวันหยุดเพื่อสุขภาพ
7.ความกลมกลืนของชุมชนเมือง (Village harmony) เมื่อสูงวัยต้องต่อสู่กับค่าครองชีพ และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่สูงขึ้น รวมถึงปัญหามลพิษทางอากาศในเมืองใหญ่ จึงมีแนวโน้มว่าคนไทยจะแสวงหาการใช้ชีวิตในหมู่บ้านที่สงบสุขมากขึ้น โดยให้คุณค่ากับการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของพวกเขามากขึ้น การขยายการขนส่งสาธารณะไปยังชนบทราคาถูก จะช่วยเปิดทางให้การพัฒนาเศรษฐกิจกระจายออกไป ลดความแออัด การใช้ยานพาหนะร่วมกัน (Shared Mobility) ที่จะเติบโตควบคู่ค่านิยมในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและสุขภาพส่วนบุคคล
“โอกาสและความท้าทาย จะสร้างมุมมองใหม่รวมถึงเตรียมตัวความรับมือในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นใน Greater Bangkok ระยะ 30 ปีข้างหน้า ในแต่ละมิติของ เมกะเทรนด์ที่นอกจากจะสร้างความตระหนักรู้แล้ว ยังช่วยให้นักพัฒนาเมือง ภาครัฐ และ เอกชน มองถึงความเป็นไปได้ที่จะช่วยให้สร้างเมืองสำหรับทุกสิ่งมีชีวิตที่น่าอยู่ได้อย่างยั่งยืน” ดร.ภัณณิน กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมกะเทรนด์ มีทั้งโอกาสด้านดีและภัยคุกคาม เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงด้านใดด้านหนึ่ง ความเป็นจริง สังคมมีความสลับซับซ้อนและอนาคตจะเป็นการผสมกันระหว่างด้านบวกและลบ สำหรับชุมชนและเมือง สิ่งที่จำเป็น คือ การปรับตัว ระบุความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ล่วงหน้า ทำงานประสานกัน จัดการกับความเสี่ยง ไม่ว่าจะในเรื่องสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยี ต้องทำงานร่วมกัน และตัดสินใจร่วมกัน