สวนดุสิตโพล เผยคนไทย อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาปากท้อง หลังจบศึกซักฟอก

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อกรณี คนไทยได้อะไร? จากการ “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,306 คน สำรวจระหว่างวันที่ 6-9 กันยายน 2564

            พบว่า ประชาชนมองว่าจุดเด่นของการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ คือ เป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลได้แสดงความคิดเห็น 55.76% จุดด้อย คือ มีการใช้คำไม่สุภาพ โต้ตอบกันรุนแรง 50.82%

           สิ่งที่ประชาชนได้รับ คือ ทำให้เห็นการทำหน้าที่ของ ส.ส. ในสภา  45.29% หลังการอภิปรายคิดว่าการเมืองไทยน่าจะเหมือนเดิม  54.67% สิ่งที่อยากฝากบอกรัฐบาล คือ เร่งแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน 74.31% และอยากให้ฝ่ายค้านตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างจริงจัง  63.79%

​
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สวนดุสิตโพล ยังแนบความเห็นท้ายผลสำรวจดังกล่าวว่า โดยมีสาระสำคัญคือ สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พบท่าทีทางทางการเมืองที่ชัดเจนของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน คือ รอยร้าว ที่มีอยู่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งประชาชนเองรับรู้ข้อมูลจากการอภิปราย โดยมองว่าการเมืองไทยหลังจากนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม และต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาปากท้องและเร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพให้ประชาชนอย่างทั่วถึง

         ความเห็นแนบท้ายผลสำรวจ ระบุด้วยว่า จากผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าคนไทยค่อนข้างจะชินชาต่อการคงอยู่ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ประชาชนมากกว่าครึ่งเห็นว่าการเมืองไทยน่าจะยังเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อีกนัยหนึ่ง คือ การสะท้อนว่าประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะทำให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลุดออกจากการเป็นรัฐบาลได้

          "ท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลที่มีต่อนายกรัฐมนตรีก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางลบมากนัก อีกทั้งในอดีตที่ผ่านมารัฐบาลที่เผชิญกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต่างก็รอดพ้นจากการลงมติไม่ไว้วางใจแทบทั้งสิ้น จึงอาจกล่าว ได้ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านที่ผ่านมานั้น ล้วนแล้วแต่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงข้อมูลในประเด็นต่าง ๆ  เปรียบเสมือนการฝังเมล็ดแห่งความคลางแคลงใจต่อการทำงานของรัฐบาลในใจของประชาชนมากกว่า" ความเห็นของสวนดุสิตโพล ระบุ.