เปิดวิชั่น 'อารภัฏ สังขรัตน์' ผู้นำ 'เมย์แบงก์ กิมเอ็ง' ยุคใหม่

เปิดวิชั่น 'อารภัฏ สังขรัตน์' ผู้นำ 'เมย์แบงก์ กิมเอ็ง' ยุคใหม่

บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ  MBKET หนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์ที่นักลงทุนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี

สะท้อนจากส่วนแบ่งการตลาดที่สูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง 16 ปีต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2545-2560 และยังคงเป็นบริษัทหลักทรัพย์ชั้นแนวหน้าในปัจจุบัน จนมาถึงยุคของผู้นำคนใหม่ “อารภัฏ สังขรัตน์” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่ได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2564 ที่ผ่านมา

“อารภัฏ”  ให้สัมภาษณ์ กับ“หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ได้ร่วมงานกับบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ตั้งแต่วันที่ 17 ส.ค.2563 ในตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และตำแหน่ง Regional Head of Transformation ของ Maybank Kim Eng Group ในระดับภูมิภาค ด้วยประสบการณ์การทำงานในธุรกิจการเงินการธนาคารกับบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมกว่า 20 ปี เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), Bank of NY Mellon, American Express และ Citigroup ฯลฯ

ด้านเป้าหมายของบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ในระยะ 5 ปีต่อจากนี้ (2564-2568) บริษัทได้ตั้งเป้าหมายระยะยาวที่จะช่วยให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงการลงทุน หรือ Democratize Investing ในรูปแบบการใช้เครื่องมือบริหารความมั่งคั่ง และสร้างความมั่นคงทางการเงิน จากเดิมบริการดังกล่าวในประเทศไทยยังจำกัดอยู่กับกลุ่มลูกค้าผู้มีความมั่งคั่งสูง ขณะที่ในต่างประเทศการกระจายการลงทุนกลับเป็นเรื่องที่นักลงทุนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ อีกทั้งยังอยากให้คนรุ่นใหม่ หันมาสนใจการลงทุนและสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ เนื่องจากในอดีตบริษัทหลักทรัพย์มีข้อจำกัดทางด้านต้นทุน แต่ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันช่วยให้การแนะนำแก่ลูกค้าทั่วไปมีต้นทุนที่ถูกลงผ่านช่องทางดิจิทัล โดยปัจจุบันบริษัทได้เริ่มลงทุนระบบเพื่อเตรียมความพร้อมในการให้บริการลูกค้าแล้ว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเมย์แบงก์ หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน

“นอกจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละรายแล้ว สิ่งที่ท้าทายคือการนำเอาข้อมูลที่วิเคราะห์มาจัดเป็นพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมให้กับลูกค้าแต่ละรายอย่างไรให้ลงตัวที่สุด ให้ได้รับผลตอบแทนได้ตรงตามเป้าหมาย รวมถึงการออกแบบวางแผนการลงทุนที่เหมาะกับเป้าหมายชีวิตของลูกค้าแต่ละราย (Goal-based Investing) เช่น การลงทุนเพื่อการศึกษา การลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ หรือการลงทุนเพื่อใช้จ่ายยามฉุกเฉิน ฯลฯ”

162905267835

อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าการเดินหน้าสู่เป้าหมายแผน 5 ปีดังกล่าวอาจต้องใช้เวลา โดยเบื้องต้นคาดว่าจะเห็นความคืบหน้าในปี 2565 ซึ่งบริษัทมองว่ามีความจำเป็นต้องทำเพื่อให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายสำหรับลูกค้าทุกกลุ่มและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ๆ ที่สนใจการลงทุน ซึ่งถือว่าเป้าหมายนี้เป็นหนึ่งในความรับผิดชอบที่บริษัทมีต่อสังคม (Social Responsibility) สอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มเมย์แบงก์ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นทางสังคม สิ่งแวดล้อมและธรรมาภิบาล (ESG)

โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นสร้างองค์กรบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งให้เป็น “ESG Investment House” ที่จะเน้นส่งเสริมสนับสนุนด้าน ESG อย่างต่อเนื่อง อาทิ การเน้นเสนอบทวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียนที่ส่งเสริมด้าน ESG จากทีมวิจัย, การไม่ร่วมรับจัดจำหน่าย (Underwrite) หุ้นที่มีส่วนในการทำลายสิ่งแวดล้อม, การให้ความรู้แก่นักลงทุนและกลุ่มนิสิตนักศึกษา และการพัฒนาองค์กรให้เป็น Zero Waste Organization ฯลฯ

ส่วนเป้าหมายในระยะสั้นถึงกลางบริษัทอยากเปลี่ยนทัศนคติ (Mindset) ที่ลูกค้าและพนักงานมีต่อองค์กร สำหรับลูกค้าตั้งเป้าหมายให้บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นที่หนึ่งในใจที่ลูกค้านึกถึง (First to Mind) ซึ่งเป็นเป้าหมายที่บริษัทมองว่าสำคัญกว่าการเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่สร้างรายได้หรือกำไรได้สูงสุด ในส่วนของพนักงานเขาตั้งเป้าหมายให้บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เป็นบริษัทในดวงใจ (Company of Choice) ที่พนักงานอยากร่วมงานด้วย และรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนองค์กร

“การจะเป็น Company of Choice เรามุ่งปรับรูปลักษณ์องค์กรเพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงาน ซึ่งการทำงานไม่ควรติดอยู่ในกรอบแบบเดิมที่ทำตามหน้าที่ไปในแต่ละวัน (Business As Usual: BAU) แต่ต้องเปิดกว้างให้พนักงานได้มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างสิ่งใหม่ๆ ให้แก่องค์กรได้ในแต่ละวันที่มาทำงาน และในอนาคตเรามีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น โดยเมย์แบงก์ กิมเอ็ง จะต้องเป็นมากกว่าผู้ให้บริการทางการเงิน ซึ่งลูกค้าน่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเร็วๆ นี้”

ทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต รวมถึงการดำเนินธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม เขากล่าวว่า วิกฤติการแพร่ระบาดในครั้งนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าธุรกิจหลักทรัพย์กลับกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีการเติบโตได้ดีในช่วงโควิด-19 สวนทางกับหลายธุรกิจ จึงคาดการณ์หลังวิกฤติคลี่คลายการเติบโตอาจชะลอลงจากปี 2563 และปี 2564

แต่ข้อคิดที่ได้จากวิกฤติในครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำว่าการสร้างความมั่นคงทางการเงินเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นสำหรับทุกคน ไม่เฉพาะคนที่ร่ำรวยเท่านั้น นอกจากนี้ นิติบุคคลอย่างธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ควรเป็นกลุ่มลูกค้าที่ได้รับบริการสร้างความมั่งคั่งเช่นเดียวกัน แม้จะเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีทุนไม่มาก เช่น 1 ล้านบาท ก็ควรจะกระจายการลงทุนได้ เป็นต้น

อีกเทรนด์หนึ่งที่มาพร้อมกับโควิด-19 อย่างการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (Cryptocurrency) “อารภัฏ” มองว่า กระแสการลงทุนดังกล่าวค่อยๆ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น และปัจจุบันมีบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งที่ให้บริการลูกค้า อย่างไรก็ดี สำหรับบริษัทฯ มองว่าการเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนต่างๆ จะต้องมั่นใจว่าลูกค้ามีความเข้าใจความเสี่ยงก่อนลงทุน และต้องมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะไม่ทำให้ลูกค้าได้รับความเสียหายภายหลัง ซึ่งในกรณีของสินทรัพย์ดิจิทัลยังมีความเสี่ยงในแง่ที่การเคลื่อนไหวของราคาขึ้นอยู่กับความคาดหวังของนักลงทุนในตลาด หรือยังไม่มีปัจจัยพื้นฐานที่รองรับอย่างชัดเจน

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย.2564 บริษัท มีกำไรสุทธิ 448.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 206.35 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 85.38 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน อยู่ในเกณฑ์โดดเด่น (Outperform) เมื่อเทียบกับธุรกิจเดียวกัน

ทั้งนี้ เป็นผลจากที่บริษัท กระจายการให้บริการครอบคลุมลูกค้าหลากหลายกลุ่มรวมถึงการเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ตราสารอนุพันธ์ กองทุนรวม บริการลงทุนในต่างประเทศ และงานวาณิชธนกิจ ฯลฯ ซึ่งผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ถือว่าน่าพอใจและเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ว่าเศรษฐกิจจะยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ความเชื่อมั่นของตลาดและกิจกรรมการลงทุนยังคงเดินหน้าได้อย่างดี

บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายขอบเขตผลิตภัณฑ์และบริการให้ครอบคลุมหุ้นทั่วโลกและกองทุนระดับโลก โดยมีการสนับสนุนจากกลุ่มเมย์แบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารที่แข็งแกร่งระดับโลกและมีความมั่นคงในธุรกิจสูง โดยในเดือนต.ค.ที่จะถึงนี้ กลุ่มเมย์แบงก์ กิมเอ็ง จะดำเนินธุรกิจครบ 10 ปี ซึ่งความตั้งใจในการมอบบริการด้านการเงินใหม่ๆ ผ่านเครือข่ายของกลุ่มเมย์แบงก์ทั้ง 10 ประเทศจะยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่องและมั่นคงสืบไป