'ปมขัดแย้งซินเจียง' หนุนกำไรแบรนด์ชุดกีฬาจีน

'ปมขัดแย้งซินเจียง' หนุนกำไรแบรนด์ชุดกีฬาจีน

นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว บริษัทผลิตเสื้อผ้าหรือรองเท้ากีฬาสัญชาติตะวันตกอย่างไนกี้ และอะดิดาส กลับได้ผลประโยชน์ในตลาดจีนเพียงน้อยนิด

“หลิน หง”นักศึกษาในวิทยาลัยแห่งหนึ่งของจีนมองดูรองเท้ากีฬาไนกี้5คู่ที่เขาซื้อมาเพื่อสวมเล่นบาสเก็ตบอลล์ตลอดช่วง2ปีที่ผ่านมาเหมือนเป็นการสั่งลาเพราะตอนนี้เขาเริ่มมองหารองเท้ากีฬาแบรนด์จีน คู่แข่งรายใหญ่สุดของแบรนด์รองเท้ากีฬาดังสัญชาติสหรัฐ

“ถึงเวลาที่จะเลิกสวมรองเท้ากีฬายี่ห้อไนกี้และหันมาสวมรองเท้ากีฬาของจีนอย่างหลี่ หนิง หรือไม่ก็แอนต้าแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรองเท้ากีฬาของไนกี้ไม่ได้สวมใส่สบายเหมือนแต่ก่อนขณะที่รองเท้ากีฬาแบรนด์จีนมีดีไซน์โดดเด่นและมีพื้นรองเท้าที่แข็งแรง” หลิน กล่าว

ต้องขอบคุณผู้บริโภคอย่างหลิน “หลี่ หนิง” แบรนด์รองเท้าและเสื้อผ้ากีฬาชื่อดังของจีนของอดีตนักกีฬาโอลิมปิกที่ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจ ส่งสัญญาณมาแล้วว่าจะรายงานตัวเลขผลกำไรที่เพิ่มขึ้นในการเผยผลประกอบการครึ่งปีในวันพฤหัสบดี(12ส.ค.)ตามเวลาท้องถิ่น เช่นเดียวกับเอ็กซ์เทป อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิงส์ (Xtep International Holdings)และแอนต้า สปอร์ตส โพรดักส์ บริษัทจำหน่ายชุดกีฬาที่เติบโตเร็วที่สุดในตลาดจีนตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมาก็เตรียมจะประกาศผลประกอบการในสองอาทิตย์ต่อมา

แต่ขณะที่บริษัทสามแห่งของจีนเตรียมประกาศผลประกอบการเพิ่มขึ้นเพราะความต้องการของผู้บริโภคฟื้นตัวนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19ตั้งแต่ปีที่แล้ว บริษัทผลิตเสื้อผ้าหรือรองเท้ากีฬาสัญชาติตะวันตกอย่างไนกี้ และอะดิดาส กลับได้ผลประโยชน์เพียงน้อยนิด

ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือประมาณเดือนมี.ค.ถึงพ.ค.หลังจากสื่อของรัฐบาลและบรรดาผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ตำหนิกระแสวิตกกังวลในช่วงที่ผ่านมาเกี่ยวกับการบังคับใช้แรงงานในมณฑลซินเจียงและแถลงการณ์ของบริษัทเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงไม่ใช้ฝ้ายจากมณฑลดังกล่าว

162881208421

จากนั้นก็มีการเคลื่อนไหวจากสหรัฐ สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และแคนาดาในเดือนมี.ค.ตำหนิจีนและคว่ำบาตรบรรดาเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวอุยกูร์และชาวมุสลิมในมณฑลซินเจียง

ปมขัดแย้งที่มีที่มาจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในมณฑลซินเจียง ส่งผลกระทบอย่างมากมายต่อแบรนด์เสื้อผ้าแฟชันชั้นนำของโลกสัญชาติสวีเดนอย่างเอชแอนด์เอ็ม โดยเหล่าคนดังชาวจีนเลิกทำสัญญาทางธุรกิจกับแบรนด์ดังนี้ ส่วนบริษัทให้บริการแผนที่ทางออนไลน์และบริษัทให้บริการเรียกรถรับจ้างก็ลบร้านเอชแอนด์เอ็มออกจากระบบของร้าน แพลทฟอร์มช็อปปิ้งทางออนไลน์ถอนผลิตภัณฑ์ของเอชแอนด์เอ็มออก และเจ้าของตึกหรือเจ้าของสิ่งปลูกสร้างบางแห่งยกเลิกสัญญาเช่ากับบริษัทเอชแอนด์เอ็มทันทีในช่วงที่มีการรณรงค์คว่ำบาตร

สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ยอดขายสุทธิรายไตรมาสนับจนถึง 31 พ.ค.ของเอชแอนด์เอ็มในจีนแผ่นดินใหญ่ร่วงลงไป 28.1%ไปอยู่ที่ 1,620 ล้านโครนาสวีเดน (186.86 ล้านดอลลาร์)เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ ขณะที่เครือข่ายร้านค้าทั่วประเทศของบริษัทลดลง 13 แห่งเหลือ 489 แห่ง จากที่ก่อนหน้านี้ จีนเป็นตลาดใหญ่สุดอันดับสามของบริษัท แต่ปัจจุบัน จีนกลายเป็นตลาดใหญ่สุดอันดับ6

ขณะที่ยอดขายของอะดิดาส ร่วงลงมากสุดเป็นประวัติการณ์ 16.3% อยู่ที่ 1,000 ล้านยูโร (1,180 ล้านดอลลาร์)ในไตรมาสเดือนเม.ย.-มิ.ย. ส่วนไนกี้ รายงานก่อนหน้านี้ว่า รายได้ในจีนในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค.เพิ่มขึ้น 17% เป็น 1,930 ล้านดอลลาร์แต่รายได้ที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นในช่วงที่รายได้ทั่วโลกของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากปีก่อนหน้า

หลี่ หนิง คาดการณ์ว่าในการประกาศผลประกอบการช่วงครึ่งแรกของปีจะแจงการเติบโตของรายได้กว่า 60% และกำไรสุทธิที่ 1,800 ล้านหยวน(277.65 ล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณสามเท่า

แอเดรียน ชาน และเซบิล หู นักวิเคราะห์จากไดวา คาดการณ์ว่า หลี่ หนิงจะรายงานตัวเลขกำไรสุทธิสูงเป็นประวัติการณ์กว่า 18% สำหรับช่วงครึ่งปี ขณะที่ร้านค้าปลีกเสื้อผ้าและรองเท้ากีฬาจะขายผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมของผู้บริโภคได้จนหมด

นอกจากนี้ ตั้งแต่เกิดกระแสรักชาติในช่วงเดียวกับที่มีการรณรงค์ต่อต้านสินค้าของเอชแอนด์เอ็ม ราคาหุ้นของหลี่ หนิงก็ทะยานขึ้นไปถึง 86% ส่วนราคาหุ้นแอนต้าก็พุ่งขึ้น 44% และราคาหุ้นเอ็กซ์เทปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า

เอ็กซ์เท็ป แจ้งบรรดานักลงทุนว่าบริษัทจะรายงานผลกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 65% สำหรับช่วงครึ่งปี ขณะที่แอนต้า มั่นใจว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นกว่า 110%จากรายได้ที่ขยายตัวกว่า 50% หลังจากปีที่แล้ว บริษัทสามารถทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,660 ล้านหยวน

ด้านแคสเปอร์ รอร์สเต็ด หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)อะดิดาส กล่าวแก่บรรดานักวิเคราะห์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ยอดขายทางออนไลน์ในจีนของบริษัทเริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้งในเดือนมิ.ย.ขณะที่ยอดขายทั่วทั้งโลกทรงตัว

บรรดานักวิเคราะห์เชื่อว่าการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่โตเกียวซึ่งปิดฉากไปแล้ว จะช่วยกระตุ้นยอดขายให้แก่บริษัทแห่งนี้ได้มาก โดยเฉพาะเมื่อ"ซู ปิ่งเทียน" นักวิ่งวัย 32 ปีที่สวมชุดกีฬาของไนกี้ ทำผลงานไว้อย่างยอดเยี่ยมในการแข่งขัน เป็นชาวเอเชียคนแรกและคนเดียวที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศโอลิมปิก 100 เมตร ถึงแม้ว่าผลสุดท้ายจะไม่สามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกไปครองได้ แต่ก็ได้อันดับที่ 6 ไปครอง พร้อมกับทำลายสถิติเอเชียด้วยเวลา 9.83 วินาที ในรอบรองชนะเลิศ