ผ่าแผน ‘ดุสิตธานี’ ฝ่าโควิดลากยาว! เร่งปรับโครงสร้างทรัพย์สิน-คุมต้นทุน

ผ่าแผน ‘ดุสิตธานี’ ฝ่าโควิดลากยาว!  เร่งปรับโครงสร้างทรัพย์สิน-คุมต้นทุน

แนวโน้ม “ธุรกิจท่องเที่ยวไทย” ในครึ่งหลังของปี 2564 ยังอยู่ภายใต้ความกดดันจากวิกฤติการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงในประเทศตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้ มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเกิดความล่าช้าในการกระจายวัคซีน

รัฐบาลขยายระยะเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศออกไปจนถึงสิ้นเดือน ก.ย.2564 รวมถึงการยกระดับมาตรการ “ล็อกดาวน์” แบบเข้มข้นในหลายจังหวัดและมาตรการจำกัดการเดินทางข้ามจังหวัด ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออัตราการเข้าพักของโรงแรมในประเทศ

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากปัจจัยการแพร่ระบาดรุนแรงขึ้นของโควิด-19 และการประกาศมาตรการล็อกดาวน์แบบเข้มข้นในหลายจังหวัดของประเทศไทยโดยเฉพาะในไตรมาส 3/2564 คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการมากขึ้น

กลุ่มดุสิตธานีได้พยายามบริหารสถานการณ์และวางแผนเพื่อรับมือกับผลกระทบระยะยาวที่อาจจะยืดเยื้อกว่าที่คาด!!! ด้วยการดำเนินการตามกลยุทธ์ “ปรับโครงสร้างทรัพย์สิน” (Asset Optimization) โดยเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา บริษัทฯได้บรรลุข้อตกลงในการขายโรงแรมดุสิต ปริ๊นเซส เชียงใหม่ ให้กับนักลงทุน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและทำสัญญารับจ้างบริหารโรงแรมดังกล่าวต่อไปภายใต้แบรนด์ “ดุสิตธานี” ซึ่งรายได้และกำไรจากการขายจะรับรู้ในงบการเงินไตรมาส 3 ของปีนี้

นอกจากนี้บริษัทฯยังคงบริหารจัดการด้านการเงินอย่างระมัดระวัง ด้วยการให้ความสำคัญกับการลดสัดส่วนของต้นทุน ค่าใช้จ่าย และรักษาสภาพคล่องทางการเงิน โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 บริษัทฯมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียนอื่นรวม 1,592 ล้านบาท มีวงเงินสินเชื่อระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้ประมาณ 1,313 ล้านบาท และได้รับอนุมัติเงินกู้โครงการจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 1,418 ล้านบาท โดยมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้ประมาณ 667 ล้านบาท ล่าสุดได้ออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่จำนวน 1,000 ล้านบาทให้กับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่เป็นที่เรียบร้อยในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา

“สิ่งที่เราพยายามทำในขณะที่ธุรกิจหลักมีแนวโน้มเผชิญความท้าทายมากขึ้น นอกจากจะขยายธุรกิจให้มีความหลากหลายเพื่อสร้างรายได้และผลตอบแทนแล้ว เรายังคงเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ในการปรับโครงสร้างทรัพย์สิน เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีขึ้น รวมถึงช่วยเสริมสภาพคล่อง และรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการระบาดของโควิด-19 จะยืดเยื้อยาวนานกว่าที่คาด แต่กลุ่มดุสิตธานียังคงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะประคับประคองธุรกิจไว้ให้ได้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและพื้นฐานที่มั่นคงของทุกภาคส่วนของบริษัท ซึ่งเราจะอดทนรอจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อที่จะกลับมาเป็นส่วนร่วมในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศให้กลับมาสดใสได้อีกครั้งในอนาคต”

ซีอีโอกลุ่มดุสิตธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านผลประกอบการไตรมาส 2/2564 บริษัทฯมีรายได้รวม 587 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 163 ล้านบาท คิดเป็น 38.4% โดยมีผลขาดทุนสุทธิ 376 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็น 17% 

ขณะที่รายได้ 6 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 1,898 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 252 ล้านบาทจากครึ่งแรกของปีที่แล้ว คิดเป็น 15.3% โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจโรงแรม 40%, ธุรกิจการศึกษา 8.5%, ธุรกิจอาหาร 11.2%, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 13% และรายได้จากธุรกิจอื่นอีก 27.3% ส่วนผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 302 ล้านบาท ลดลงจากขาดทุนสุทธิ 535 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็น 43.6%

“ธุรกิจการท่องเที่ยวทั่วโลกยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในส่วนของประเทศไทย ต้องยอมรับว่าการระบาดครั้งใหญ่ระลอกที่ 3 ตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีอัตราการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและกระจายไปทั่วประเทศ ในขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนในประเทศไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลกระทบโดยตรงกับธุรกิจของเรา แต่ภาพรวมดีขึ้นกว่าปีก่อน เพราะเรายังมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศและรายได้จากการขยายธุรกิจอาหารให้กับโรงเรียนนานาชาติในเวียดนามมาช่วยเสริม นอกจากนี้เรายังมีกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม และยังคงควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวดและพยายามลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ทำให้แม้จะมีผลดำเนินงานที่ขาดทุน แต่ก็เป็นผลขาดทุนที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา”

ทั้งนี้แม้จะต้องเผชิญกับ “ความท้าทาย” จากวิกฤติโควิด-19 แต่กลุ่มดุสิตธานีก็ยังมีพัฒนาการและสามารถเดินหน้าขยายธุรกิจได้ตามแผนที่วางไว้ โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ กลุ่มดุสิตธานีได้เปิดโรงแรมใหม่ภายใต้รูปแบบ White Label Hotel Managed by Dusit ที่เกาะกวม ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 1 แห่ง รวมถึงเปิดตัว “เทวารัณย์ เวลเนส คอนเซ็ปต์” ซึ่งเป็นแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมใหม่ เพื่อตอบสนองเทรนด์ท่องเที่ยวใหม่ ตลอดจนปรับปรุงกิจกรรมต่างๆ และเตรียมพร้อมโรงแรมและวิลล่าเพื่อเข้าร่วมโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” และ “สมุย พลัส โมเดล” ไปจนถึงการเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้พนักงานให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้าและพนักงาน

ส่วนธุรกิจอาหาร บริษัทฯได้เปิดร้าน “คาวาอิ” (KAUAI) เป็นแฟลกชิพสโตร์แห่งใหม่ในย่านอโศก ใจกลางกรุงเทพฯ โดยเป็นร้านแบบสแตนด์อะโลนแห่งแรก เพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคที่นิยมอาหารเพื่อสุขภาพ และสามารถสั่งอาหารแบบดิลิเวอรี่ซึ่งได้รับการตอบรับดี ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าในวงกว้างขึ้น

162859756046