‘จุรินทร์’ สั่งแก้ปัญหา ‘ตู้สินค้า-ค่าระวางเรือ’ ดันส่งออก

(ชมคลิปข่าวด้านล่าง) จุรินทร์ ยันส่งออกเดือนมิ.ย.โตสองหลัก สั่งแก้ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือ ลดอุปสรรคการส่งออกไทย พร้อมช่วยเอสเอ็มอีส่งออกสร้างหลักประกันค่าระวางและตู้ทำสัญญาล่วงหน้า

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้ประชุมกรอ.พาณิชย์ ร่วมกับภาคเอกชน โดยเห็นตรงกันว่าการส่งออกถือว่าเป็นตัวจักรสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยในปัจจุบัน ล่าสุดตัวเลขการส่งออกเดือนพ.ค.ขยายตัว 41.59% และตัวเลขส่งออกเดือนมิ.ย. คาดว่าจะบวกอยู่ด้วยตัวเลขสองหลัก ซึ่งการที่ส่งออกขยายตัวดีส่วนหนึ่งเกิดจากการทำร่วมกันอย่างหนักของกระทรวงพาณิชย์และภาคแรกชน โดยใช้กลไกกรอ.พาณิชย์

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หยิบยกประเด็นการแก้ไขปัญหาในทุกเรื่อง เพื่อผลักดันการส่งออก ได้แก่ ตู้คอนเทนเนอร์ ได้ข้อสรุปจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้แจ้งตัวเลขขณะนี้ว่ามีตู้นำเข้าและส่งออกเข้าสู่สภาวะสมดุล และยังเหลือพอส่งออก โดยตัวเลขนำเข้าตู้คอนเทนเนอร์เดือนม.ค. ถึง พ.ค. มีจำนวน 2.2 ล้านทีอียู มีการใช้ไป 2 ล้านทีอียู ยังเหลือ 2 แสนทีอียู ที่สามารถใช้ได้ แต่ประเด็นปัญหาในภาคปฏิบัติจริง ตู้จำนวนหนึ่งรอกระบวนการนำสินค้าออกมา ทำให้ตู้ไม่ว่างแทนนำมาใช้ใหม่เพื่อการส่งออกได้ เลยทำให้บางช่วงตู้ขาดแคลน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ได้พูดวันนี้ คือ ควรจะร่วมกันสร้างแรงจูงใจให้เรือขนาดใหญ่เข้ามาเทียบท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อนำตู้เปล่าเข้ามาในไทย โดยมีมาตรการจูงใจที่จะต้องเร่งขจัดปัญหาเรือใหญ่เวลานำสินค้าเข้ามาเทียบท่า ถ้านำสินค้าเข้าไทยอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อแรงจูงใจ ควรจะถ่ายลำส่งออกไปยังประเทศอื่นได้ด้วย ที่ประชุมได้มอบหมายปลัดกระทรวงพาณิชย์ หารือกับกระทรวงคมนาคม ร่วมกันกำหนดมาตรการแก้ปัญหาจูงใจเรือใหญ่เข้ามา

ส่วนเรื่องค่าระวางเรือราคาแพง ภาคเอกชนยอมรับเป็นไปตามกลไกตลาด แต่ต้องการให้มีมาตรการลดค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม จึงได้มอบให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์หารือส่วนเกี่ยวข้องต่อไป ลดภาระค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ ที่ประชุมสนับสนุนให้เอสเอ็มอีส่งออก ซึ่งมีทั่วประเทศ 3 หมื่นราย ได้มีการรวมตัวกัน ในการทำสัญญาล่วงหน้ากับสายการเดินเรือ เพื่อได้มีหลักประกันค่าระวางเรือและหลักประกันตู้คอนเทนเนอร์แน่นอน เพราะถ้าเจรจาแต่ละรายอำนาจน้อย แต่ถ้ารวมตัวและเจรจาจะทำให้ได้เงื่อนไขดี ราคาไม่แพง และมีตู้ส่งออกได้ โดยกระทรวงพาณิชย์สนับสนุนให้ไปดำเนินการเรื่องนี้ ถ้าสำเร็จจะมีการทำสัญญาล่วงหน้าต่อไป