EP ติดสปีดลงทุน 'โรงไฟฟ้า' ปั้นบรรจุภัณฑ์ขายรายใหญ่

EP ติดสปีดลงทุน 'โรงไฟฟ้า' ปั้นบรรจุภัณฑ์ขายรายใหญ่

'อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป' พุ่งเป้าขยายลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ เตรียมรองรับเทรนด์ธุรกิจอีวีโต หนุนใช้ไฟเพิ่มขึ้้นในอีก 5 ปีข้างหน้า พร้อมเผยภายใน 2-3 ปี เล็งขายบรรจุภัณฑ์-สิ่งพิมพ์ให้รายใหญ่

อีก 5 ปีข้างหน้า ! เทรนด์การใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งในไทยและต่างประเทศจะเปลี่ยนไป บ่งชี้ผ่านการเติบโตก้าวกระโดดของ 'อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า' (EV) และหนึ่งในผู้ประกอบการที่อยู่ใน 'อุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้า' อย่าง บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP ที่กำลังรับปัจจัยบวกจากประเด็นดังกล่าว จึงเตรียมขยายการลงทุนเพื่อรองรับความต้องการ (ดีมานด์) ที่แนวโน้มเติบโตระดับสูงในอนาคต 

'ยุทธ ชินสุภัคกุล' ประธานกรรมการ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP ให้สัมภาษณ์พิเศษ 'หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ' ว่า การมาของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจะทำให้พฤติกรรมความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 'เท่าตัว' สอดคล้องกับทิศทางตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตระดับสูง ดังนั้น แผนธุรกิจภายใน 2-3 ปีข้างหน้า (2564-2566) ตามนโยบายของบริษัทจึงต้องการมุ่งมั่นที่จะดำเนินด้าน 'ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า' เพียงอย่างเดียว

โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้ 'ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า' คิดเป็น 55% และ 'ธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์' คิดเป็น 45% แต่คาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าบริษัทจะจำหน่ายธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด ทว่าในช่วง 2-3 ปีนี้ ขอทำให้ผลประกอบการแข็งแกร่งมีรายได้ระดับ 'พันล้านบาท'

สำหรับกลยุทธ์การเติบโตมุ่งเน้น 'ธุรกิจพลังงาน' โดยบริษัทมีแผนขยายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ อีกจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศ สำหรับการเติบโตในประเทศ ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด)บริษัท มีมติให้บริษัทย่อย E-COGEN ซื้อหุ้นบริษัท เอสเอสยูที จำกัด (SSUT) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Cogeneration) ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เพิ่ม40% คิดเป็นมูลค่ารวม 2.10 พันล้านบาท  ทำให้ถือหุ้นเป็น 80.96% 

โดยบริษัทเตรียมที่จะเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 4 ส.ค. 2564 คาดว่าหากที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติกระบวนการซื้อหุ้น SSUT จะเสร็จในวันที่ 8 ส.ค.นี้ และคาดว่าจะทำให้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มเข้ามาประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้เมื่อปี 2559 บริษัทเข้าซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติทั้งสองแห่ง กำลังการผลิต 360 เมกะวัตต์ ซึ่งถือหุ้น SSUT 40.96% และ บริษัท พีพีทีซี จำกัด (PPTC) จำนวน 50.7% แต่เป้าหมายบริษัทต้องการถือหุ้น 100% ทั้ง 2 โครงการ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อต้องการถือหุ้นทั้ง SSUT และ PPTC ให้ครบ 100% ทั้งสองโครงการ คาดจะรู้ผลเดือนส.ค.-ก.ย. 2564 นี้ 

นอกจากนี้ บริษัทมีความสนใจพิจารณาลงทุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) ของทหารบก กำลังการผลิต 30,000 เมกะวัตต์ (MW) โดยเบื้องต้นจะเปิดให้ผู้สนใจเฟสแรกกำลังผลิต 300 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะได้ลงทุนประมาณ 30-60 เมกะวัตต์ คิดเป็นเงินลงทุนราว 300 ล้านบาท คาดจะรับรู้รายได้เข้ามาประมาณ 300 ล้านบาท (1 เมกะวัตต์คิดเป็นรายได้ 1 ล้านบาท) คาดว่าปี 2565 จะเริ่มก่อสร้างและจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ใช้เวลา 3-6 เดือน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนาคต 

ขณะที่ช่วงปลายปี 2564 บริษัทจะได้รับวงเงินกู้จากสถาบันการเงินในการขยายการลงทุนในโรงไฟฟ้าเพิ่ม แต่ระหว่างที่บริษัทกำลังรอคาดว่ามีโอกาสนำเงินไปลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีค่า P/E ต่ำกว่า 10 เท่า อย่าง บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO , บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เนื่องจากทั้งสองบริษัทยังมีระดับ P/E ต่ำกว่า 10 เท่า ซึ่งบริษัทกำลังเจรจาขอซื้อหุ้นกับผู้ถือหุ้นเดิม คาดว่าจะถือหุ้นราว 5% โดยเป็นการทำรายการซื้อผ่านกระดานซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot)

162523696275

เขา บอกต่อว่า การสร้างการเติบโตในต่างประเทศ สะท้อนผ่านการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 160 เมกะวัตต์ ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งความคืบหน้าล่าสุด อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะเริ่ม COD ได้ตั้งแต่เดือน พ.ย.นี้ ประมาณ 80% และที่เหลืออีก 20% ในเดือนธ.ค.2564 คาดว่ารับรู้รายได้ประมาณ 400 ล้านบาทต่อปี โดยมีอายุสัญญาโครงการ 20 ปี 

นอกจากนี้ บริษัทกำลังอยู่ระหว่างศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในประเทศเวียดนามตอนกลาง ขนาดกำลังผลิตประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ คิดเป็นมูลค่าลงทุน 75,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นการร่วมทุนกับผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นอีก ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และผลกำไรเพิ่มขึ้นได้อีกมากในอนาคต เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติดังกล่าว ประเทศเวียดนามต้องการนำพลังงานไฟฟ้ามารองรับความต้องการไฟฟ้าจากตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในเวียดนามที่กำลังเติบโตระดับสูงมาก 

'ต่อไปพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของคนไทยและเวียดนามจะเปลี่ยนไป จากเดิมกลางวันใช้ไฟฟ้ามากกลางคืนใช้ไฟฟ้าน้อย แต่อีก 5 ปีข้างหน้าเทรนด์การใช้ไฟฟ้าจะเปลี่ยนไปเป็นกลางวันจะใช้ไฟฟ้าน้อยกว่ากลางคืน เพราะกลางคืนคนจะใช้ไฟฟ้าในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองที่บ้าน ดังนั้น แนวโน้มการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากการเติบโตของตลาดรถยนต์อีวี'

ขณะที่ 'ธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์' ในอนาคตบริษัทจะตัดจำหน่ายออกไปให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด แต่ในระยะ 2-3 ปีนี้บริษัทกำลังสร้างความแข็งแกร่งในแง่ของผลการดำเนินงานทั้งรายได้และกำไรสุทธิ โดยหากบริษัทจะขายเบื้องต้นธุรกิจต้องมีรายได้ระดับ 'พันล้านบาท' ก่อน ซึ่งในปีนี้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งจะมีการเติบโตของยอดขายในระดับ 80% คิดเป็นรายได้ราว 800 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 450 ล้านบาท 

'ตอนนี้เรากำลังสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ในมีความสวย ต้องตาผู้ประกอบรายใหญ่ๆ ในตลาดก่อนแล้วค่อยขายออกไป ซึ่งปีที่แล้วมีรายได้ประมาณ 400 ล้านบาท โดยคาดว่าปีนี้รายได้อยู่ที่ 800 ล้านบาท'

โดยแนวโน้มธุรกิจมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งบริษัทมุ่งเน้นขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ให้มากขึ้น ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่หันไปใช้บริการซื้อสินค้า และสั่งอาหารทางออนไลน์เพิ่มมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ตลาดมีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เป็นจำนวนมาก โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถได้ส่วนแบ่งทางการตลาดดังกล่าว สะท้อนผ่านการมุ่งเน้นพัฒนาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด 

สำหรับเป้าหมายการเติบโตปี 2564 บริษัทตั้งเป้ารายได้ 'เติบโต 40%' จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,194.83 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรให้เติบโตได้ต่อเนื่อง จากปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,135.31 ล้านบาท โดยธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีการเติบโตของยอดขายเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมาก ขณะที่ส่วนของธุรกิจพลังงานในบริษัทฯมีแผนขยายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆอีกจำนวนมาก ทั้งในและต่างประเทศ

ท้ายสุด 'ยุทธ' พูดทิ้งท้ายไว้ว่า ปัจจุบัน EP อยู่ในอุตสาหกรรมที่โควิด-19 กระทบน้อยสุด คือธุรกิจโรงไฟฟ้า ส่วนธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มดีขึ้นแล้ว หลังพฤติกรรมคนเปลี่ยนมาสั่งซื้อสินค้าทางช่องทางออนไลน์มากขึ้น

162523780172