ซีไอเอ็มบีหั่นจีดีพีปี64เหลือ 1.3% หากระบาดยืดเยื้อถึงไตรมาส4ฉุดต่ำ 1%

ซีไอเอ็มบีหั่นจีดีพีปี64เหลือ 1.3% หากระบาดยืดเยื้อถึงไตรมาส4ฉุดต่ำ 1%

ซีไอเอ็มบี ปรับลดมุมมองจีดีพีปี 64 เหลือ 1.3% มองกรณียอดผู้ติดเชื่อยังสูงลากยอดถึงไตรมาส 4 ฉุดจีดีพีต่ำ 1% แต่ยังไม่ติดลบ จากส่งออกและมาตรการรัฐพยุงไว้ได้ แต่หากสหรัฐและจีนกลับมาแพร่ระบาดแรง กระทบส่งออกไทยติดลบ มีโอกาสเห็นจีดีพีติดลบ 2ปี

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า สำนักวิจัยฯ จึงได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2564 ลงจาก 1.9% เหลือ 1.3% และปี 2565 ลงจาก 5.1% เหลือ 4.2% จากการระบาดของโควิด -19 ระลอก 3 ที่มีแนวโน้มยาวนาน ประกอบกับการฉีดวัคซีนล่าช้า หรือวัคซีนยังมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่ มีผลต่อเนื่องให้การระบาดของโควิด-19 ระลอกอื่นๆ กำลังจะเกิดขึ้นตามมา ขณะเดียวกัน ไวรัสกลายพันธุ์ และปัจจัยการฟื้นตัวของตลาดโลก แต่ยังสามารถคุมควบจากมาตรการต่างๆได้ โดยกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้บางส่วนในช่วงเดือนต.ค. 

แต่หากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ยังลากยาวถึงในไตรมาส 4  ยอดผู้ติดเชื่อยังสูงต่อเนื่อง และยังใช้มาตรการกึ่งล็อกดาวน์กระทบความเชื่อมั่น อาจเห็นจีดีพีต่ำกว่า1%แต่ยังไม่ติดลบ เพราะเศรษฐกิจไทยยังมีภาคส่งออกและมาตรการภาครัฐ ช่วยพยุงไว้อยู่ 

ยกเว้นกรณีเลวร้ายสุดที่จีดีพี จะติดลบได้ มาจากปัจจัยในต่างประเทศ ถ้าการแพร่ระบาดโควิด -19 ในหลายประเทศกลับมา โดยเฉพาะสหรัฐและจีนที่เป็นคู่ค้าหลักของไทย ทำให้ส่งออกไทยติดลบ มีโอกาสอาจเห็นจีดีพีติดลบถึง2ปีได้

อย่างไรก็ตาม นอกจากเศรษฐกิจไทยจะเติบโตช้า (Slow) ยังเผชิญ 4 ปัจจัยเสี่ยงเสริมเข้ามา ได้แก่ 1. Stagnant 2. Uneven 3. Reverse 4. Effective จึงขอเรียกเศรษฐกิจไทยช่วงนี้ว่า Slow But S.U.R.E.

S = Stagnant นิ่ง เพราะการใช้จ่ายที่ ซึมและนิ่ง

การบริโภคภาคเอกชนโตช้า จากความมั่นใจที่อยู่ระดับต่ำ คนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย จากความระมัดระวัง การเดินทางในประเทศยังซึม เพราะขาดความมั่นใจ และการแพร่ระบาดที่สูง

U = Uneven ความไม่เท่าเทียม การฟื้นตัวในระดับที่ต่างกัน

กลุ่มคนรายได้น้อย กลุ่ม SME กลุ่มคนประกอบอาชีพอิสระ ฟื้นตัวช้า ขณะที่มนุษย์เงินเดือน กลุ่มคนทำงานภาคอุตสาหกรรม ฟื้นตัวตามตลาดโลก ตามภาคการส่งออก ส่วนภาคการผลิต ฟื้นตัวได้มากกว่าภาคบริการ สำหรับประเทศไทยในภาพรวม ฟื้นตัวตามการส่งออก ได้มากกว่าอุปสงค์ในประเทศ

R = Reverse กลับด้าน การเปลี่ยนมุมมองด้านโลกาภิวัตน์ (reversed globalization)

สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ทวีความกดดันขึ้นอีกครั้ง หลังเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ G7 ร่วมมือกันกดดันจีน ไม่ให้จีนเติบโตเป็นยักษ์ใหญ่แทนที่สหรัฐ และขยับจากสงครามการค้ารูปแบบภาษี เป็นกดดันการเติบโตทางเทคโนโลยีของจีน อีกทั้งขีดเส้นให้ชาติอื่นๆ ต้องเลือกข้าง ระหว่างสหรัฐ ชาติพันธมิตรสหรัฐ หรือจีน ส่งผลให้ประเทศตลาดเกิดใหม่ เผชิญปัญหาต้นทุนการผลิต ต้นทุนทางเทคโนโลยีสูงขึ้น เรามองว่า ประเทศไทยต้องระมัดระวัง ไม่เลือกข้าง และควรสานสัมพันธ์ความร่วมมือกับทั้ง 2 ชาติ มหาอำนาจ

E = Effective ประสิทธิภาพของวัคซีน

การวางแผนฉีดวัคซีนให้ถึง 100 ล้านโดส สิ่งที่ต้องติดตามเพิ่มเติมคือ วัคซีนที่เราได้รับวันนี้ สามารถป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้หรือไม่ และหากฉีดครบ 2 โดสแล้ว จำเป็นต้องฉีดโดสที่ 3 ที่ 4 หรือโดสอื่นๆ เพื่อกระตุ้นต่อเนื่องไหม เราจึงอยากเห็นการวางแผนเพิ่มเติมในจุดนี้ รวมถึงเร่งดำเนินการเชิงรุกในการกระจายความเสี่ยงของชนิดวัคซีน เพราะนอกจากมีความสำคัญทางการแพทย์ วัคซีนยังมีผลต่อเศรษฐกิจด้วย วัคซีนสะท้อนความเชื่อมั่นของคน หากคนไม่มั่นใจในประสิทธิภาพ แม้ฉีดแล้วยังไม่กล้าเดินทาง หรือยังถอดหน้ากากไม่ได้ เดิมคาดว่ากิจกรรมเศรษฐกิจจะกลับมาเปิดได้ในเดือนสิงหาคมนี้ อาจถูกเลื่อนออกไป

4 ข้อนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ ปีหน้า โตช้า กว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นพาเศรษฐกิจไทยกลับไปสู่ภาวะวิกฤต” 

162512689993

อย่างไรก็ดี ยังมีความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นเร็วกว่าที่คาด หากมี 4 ปัจจัยเร่ง ได้แก่ 1. Confidence 2. Agriculture 3. Return of tourists 4. Expenditure

C = Confidence สร้างความเชื่อมั่น หากมีการเร่งฉีดวัคซีนโดยเร็ว ควบคู่ไปกับเอกชนเข้าถึงวัคซีนทางเลือกรวดเร็ว คนจะกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง

A = Agriculture ฟื้นแรงงานภาคเกษตร หลังปิดกิจกรรมเศรษฐกิจ ​คนย้ายถิ่นฐานกลับบ้าน หากเร่งการฟื้นตัวของแรงงานกลุ่มนี้โดยเสริมการจ้างงานในชนบทให้สร้างสาธารณูปโภคในพื้นที่เพื่อกักเก็บน้ำและป้องกันน้ำท่วมได้ จะยิ่งเป็นแรงหนุน เพราะเป็นโชคดีที่รายได้ภาค​เกษตร​ปีนี้ถือว่าดี จากราคาที่สูงและผลผลิตมาก​

R = Return of Tourists เตรียมแผนรับนักท่องเที่ยวปีหน้า​ เร่งทำ​ Bubble Tourism กับต่างประเทศเพื่อลดการกักตัว​สำหรับผู้ได้รับวัคซีน​ แม้ปีนี้เราจะเตรียมความพร้อมและทดลองผ่าน​ Sandbox แต่ปีหน้าหลังมีวัคซีนที่ดีพร้อม​ เราจะสามารถมีรายได้การท่องเที่ยวเป็นตัวหลักฟื้นเศรษฐกิจ​ได้

E = Expenditure เร่งการใช้จ่ายภาครัฐให้ตรงจุด​ บรรเทาปัญหาแรงงานด้วยการเร่งประกันสังคมชดเชยรายได้​ ดูแล SME ให้สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงาน​ มีค่าชดเชยรายได้ที่หาย​ หรือ​เครดิตเงินคืนภาษีในปีต่อๆไป  พร้อมเร่งอัดฉีด​ Soft Loan เสริมสภาพคล่อง​ไม่ให้ธุรกิจต้องปิดตัว​ หากรัฐกังวลหนี้ชนเพดาน​ ก็ให้หาทางเพิ่มรายได้​ เช่นปล่อยเช่าทรัพย์สิน​ หรือใช้ตลาดทุนในการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ​บางส่วน​ แล้วพอเศรษฐกิจฟื้นมีรายได้ค่อยมาซื้อคืน

ทั้ง 4 ปัจจัยนี้ สร้างความเชื่อมั่น เตรียมแผนล่วงหน้า คู่ขนานไปกับงบประมาณใช้จ่ายภาครัฐ จะช่วยประคองกำลังซื้อของคนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยได้ในปีหน้า”