สมาคมตราสารหนี้ไทย จับตาแนวโน้ม 'บอนด์ยิลด์' สหรัฐ คาดพุ่งทะลุ 2 %

สมาคมตราสารหนี้ไทย จับตาแนวโน้ม 'บอนด์ยิลด์' สหรัฐ คาดพุ่งทะลุ 2 %

สมาคมตราสารหนี้ไทย ชี้โอกาสบอนด์ยินด์ไทยยังปรับขึ้นตามบอนด์ยิลด์สหรัฐพุ่ง คาดไม่ช้าหรือเร็วทะลุ 2% แนวโน้มเครดิตสเปรดทรงตัวต่อไป ส่วนตลาดหุ้นกู้พบเครดิตยิ่งต่ำความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูง แนะกระจายการลงทุน ชี้หุ้นกู้ระยะสั้น 2-3 ปี BBB+ ยังน่าลงทุน

จากงานเสวนาออนไลน์ “หุ้น หุ้นกู้ ทองคำ และ คริปโต สินทรัพย์ไหนจะไปต่อครึ่งปีหลัง 2564” โดยสมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)  

นายธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า  ทิศทางตราสารหนี้ไทยครึ่งหลังปี2564  สำหรับตลาดพันธรัฐบาลไทยทุกอายุ บอนด์ยิลด์มีโอกาสปรับสูงอีก ตามทิศทางบอนด์ยิลด์สหรัฐปรับตัวขึ้น  จากปัจจุบันบอนด์ยิลด์พันธบัตรรัฐบาลไทบ พบว่าได้ปรับขึ้นมากกว่าช่วงก่อนโควิด-19 แล้ว  ขณะที่แนวโน้มเครดิตสเปิดหลังจากนี้น่าจะยังทรงตัวต่อไป 

ดังนั้น หากนักลงทุนอยากลงทุนพันธบัตรรัฐบาล แนะการลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ ที่มีผลตอบแทนดีกว่าและไม่ต้องแข่งขันกับนักลงทุนสถาบันในตลาดรอง ซึ่งยอดซื้อขายเฉลี่ยสูงถึง 4 ล้านบาทต่อราย 

 

 

 

ด้านตลาดหุ้นกู้แนวโน้มครึ่งปีหลังปี 2564 คาดว่าน่าจะยังได้รับความนิยม หลังจาก 5  เดือนที่ผ่านมานี้ ยอดออกหุ้นกู้ระยะยาว 24 สัปดาห์แรกของปี2564 มีแนวโน้มดีขึ้น มีมูลค่าราว5 แสนล้านบาท หรือกลับมาใกล้เคียงเมื่อ 2 ปีก่อนหรือปี 2562 ที่ทำลายสติถิทั้งปีที่มียอดการออกหุ้นกู้ระยะยาว เท่ากับ 1.08 ล้านล้านบาท ในขณะที่ปี2563 มีมูลค่า 3 แสนล้านบาท หรือลดลงแรงถึง 40%จากปี2562  

โดยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานี้ หุ้นกู้ที่เสนอขาย IPO รุ่น 2 ปีและ 3ปี ทั้งหมดอยู่ในกลุ่มBBB ขณะที่หุ้นกู้ที่เสนอขาย II/HNW รุ่นอายุ 2 ปีและ 3ปี กว่า 63% เป็น Investment grade และมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้นในส่วนหุ้นกู้ที่มีปัญหาจากการระบาดโควิด-19 ในปี 2563 ยังมีมูลค่าที่ยังค้างชำระที่ 1.35 หมื่นล้านบาท จากทั้งหมด 1.8หมื่นล้านบาท และในปี 2564 มีการขอยืดชำระหนี้ออกไป 17 บริษัท รวม 9.8 พันล้านบาท ในจำนวนี้เป็นรายใหม่เพิ่มเข้ามา 4 บริษัท เป็นมูลค่า 3.48 พันล้านบาท

นอกจากนี้  โอกาสการผิดนัดชำระใน 2 ปี ของหุ้นกู้อันดับเครดิตต่างๆ  พบว่า โอกาสการผิดนัดชำระสูงขึ้นเมื่ออันดับเครดิตต่ำล หากจะลดความเสี่ยงต้องมีการกระจายลงทุนถึง 50 หุ้นกู้ต่างบริษัท ซึ่งนักลงทุนไม่สามารถทำได้ อีกทั้งในไทยยังไม่มีกองทุนไฮยิลด์บอนด์ที่มีการกระจายการลงทุน  ดังนั้นการลงทุนในไฮยิลด์บอนด์ยังต้องระมัดระวังความเสี่ยงดังกล่าว

ดังนั้น นายธาดา แนะว่าการลงทุนหุ้นกู้ ภายใต้แนวโน้มเครดิตสเปรดทรงตัว เลือกลงทุนหุ้นกู้ระยะสั้น 2-3 ปี เครดิต BBB+ ยังน่าสนใจลงทุนในช่วงนี้  พร้อมกับเพื่อเปิดโอกาสการลงทุนในหุ้นกู้ตัวใหม่ๆที่มีผลตอบแทนที่สูงขึ้นและความกระจายการลงทุนลดความเสี่ยงผิดนัดชำระ

นายธาดา กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามหลังจากนี้   คือ เฟดถอนคิวอีต่อไป  เพราะเราไม่รู้ว่าหากเกิดสัญญาณถอนคิวอีแล้ว บอนด์ยิลด์สหรัฐจะพุ่งแรงแค่ไหน หากการถอนคิวอีของเฟดออกเซอร์ไพรส์มากกว่าที่ตลาด กังวลว่าจะมีผลต่อบอนด์ยิลด์สหรัฐมาก  ปัจจุบันบอนด์ยิลด์สหรัฐ อายุ 10 ปี ขึ้นมาที่ 1.5 % และไม่ช้าหรือเร็วคาดว่าน่าจะปรับตัวขึ้นทะลุ 2 %  

ทางด้านแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของไทย มองว่าในปีหน้าอาจไม่เห็นการขยับขึ้น คงขึ้นอยู่กับท่องเที่ยวจะฟื้นกลับมาได้เร็วแค่ไหนและมีประเด็นว่า หากดอกเบี้ยนโยบายไม่ขึ้น ดอกเบี้ยเงินฝากจะไม่ขึ้นด้วยหรือไม่ ในขณะที่บอนด์ยิลด์ปรับตัวขึ้นไป โดยเฉพาะหุ้นกู้ภาคเอกชน จะกลับมาได้รับความนิยมมากน้อยแค่ไหน

ส่วนปริมาณพันธบัตรรัฐบาลไทย ที่จะออกมาสนับสนุนพรก.กู้เงิน มองว่า ด้วยปริมาณเงินดังกล่าว เทียบไม่ได้กับเงินฝากในระบบที่มีกว่า 17 ล้านล้านบาท ดังนั้นด้านซัพพายที่จะออกมาเพิ่มเติมในตลาดตราสารหนี้ในระยะข้างหน้า จึงไม่กระทบกับบอนด์ยิลด์ของไทย กรณีบอนด์ยิลด์สหรัฐปรับตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีมานี้ ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ไทยขยับขึ้นมากกว่าในเชิงจิตวิทยา