ซีอีโอไต้หวันเตือนชิพล้นตลาดหลังหลายบ.แห่ผลิตเพิ่ม

ซีอีโอไต้หวันเตือนชิพล้นตลาดหลังหลายบ.แห่ผลิตเพิ่ม

ซีอีโอไต้หวันเตือนชิพล้นตลาดหลังหลายบริษัทแห่ผลิตเพิ่ม โดยอินเทลและทีเอสเอ็มซีขยายโรงงานผลิตส่วนรายเล็กอย่างนันยา เทค และยูไนเต็ด ไมโครอิเล็กทรอนิกส์มีแผนสร้างโรงงานเพิ่ม

“แคนอน หวง” ประธานและหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)บริษัท“จาง วาห์ อิเล็กโทรแมททีเรียล แอนด์ จาง วาห์ เทคโนโลยี” ให้สัมภาษณ์เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียว่า การที่บริษัทเทคโนโลยีเร่งเพิ่มกำลังการผลิตท่ามกลางปัญหาการขาดแคลนชิพที่เกิดขึ้นทั่วโลกและรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กำลังทำให้เกิดความเสี่ยงว่าชิพจะล้นตลาด

ซีอีโอบริษัทชิพไต้หวัน กล่าวว่า การตรวจสอบทางการตลาดเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อจะได้รู้ว่าบรรดาผู้ผลิตชิพหลายรายกำลังเร่งเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรับมือกับปัญหาการขาดแคลนชิพในหลายภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่อุตสาหกรรมรถยนต์ถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค

ที่ผ่านมา อินเทล และทีเอสเอ็มซี ผู้ผลิตชิพชั้นนำของโลกทั้งสองแห่ง ประกาศแผนขยายโรงงานผลิตเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต ขณะที่ผู้ผลิตชิพรายเล็กอย่างนันยา เทค และยูไนเต็ด ไมโครอิเล็กทรอนิกส์มีแผนสร้างโรงงานเพิ่มขึ้น

“เป็นเรื่องอันตรายถ้าคุณไม่เพิ่มกำลังการผลิตเหมือนบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพราะคุณจะสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดและโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลด้วยเช่นกัน ถ้าคุณเพิ่มการผลิตพร้อมๆกันจนปริมาณชิพมากกว่าความต้องการ เพราะฉะนั้น การตรวจสอบปริมาณชิพให้สอดคล้องกับความต้องการในอนาคตจึงเป็นสิ่งสำคัญ”หวง กล่าว

ซีอีโอบริษัทผลิตชิพไต้หวัน กล่าวด้วยว่า บริษัทที่ดีต้องรู้จักวางแผนในการบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อเตรียมตัวใหม่พร้อมรับมือกับกับสถานการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ เช่น ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ หรือมีการตรวจสอบอุปสงค์-อุปทานในตลาดชิพล่วงหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบในทางลบที่จะเกิดขึ้นตามมา

เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา “มอริส จาง”ผู้ก่อตั้งและอดีตประธานบริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง โค (ทีเอสเอ็มซี)บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์ หรือชิพที่มีมูลค่ามากที่สุดของโลก เรียกร้องให้รัฐบาลไทเปปกป้องความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมชิพของประเทศในช่วงที่ทั้งสหรัฐและจีนต่างพยายามที่จะผลิตชิพใช้เองโดยไม่พึ่งพาชิพของบริษัทต่างชาติ

จาง ซึ่งก่อตั้งทีเอสเอ็มซี เมื่อปี 2530 ได้รับการยอมรับในฐานะเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แห่งไต้หวัน กล่าวว่า “การผลิตเซมิคอนดักเตอร์เป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เศรษฐกิจและการป้องกันประเทศ ทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมแรกที่ทำให้ไต้หวันมีความสามารถด้านการแข่งขันในเวทีโลก การสร้างอุตสาหกรรมชิพให้เป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังเป็นเรื่องท้าทายอย่างมากที่จะรักษาความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมนี้ให้ได้ตลอดไป ผมจึงเรียกร้องให้รัฐบาล สังคมและทีเอสเอ็มซี ร่วมกันปกป้องอุตสาหกรรมนี้”

ขณะที่หวง เล่าว่ามีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทผลิตชิพ3แห่งโทรฯหาเขาและขอร้องให้บริษัทจัดส่งกรอบโลหะเพิ่มขึ้น แม้ว่าต้องจ่ายแพงขึ้นก็ตาม โดยกรอบโลหะที่ว่านี้จะถูกนำไปใช้ในการบรรจุชิพ เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญในการบวนการผลิตชิพ ซึ่งจาง วาห์ เทคโนโลยี บริษัททำเงินในกลุ่มบริษัทจาง วาห์ กรุ๊ป เป็นผู้ผลิตและจัดหากรอบโลหะใหญ่สุดอันดับ2 ของโลก ที่ทำหน้าที่จัดหาสิ่งเหล่านี้ให้แก่บรรดาผู้ผลิตชิพรายอื่นๆอย่าง เท็กซัส อินสตรูเมนท์ ,อินฟิเนียน และเอ็นเอ็กซ์พี

อย่างไรก็ตาม แม้ลูกค้าจำนวนมากสั่งซื้อสินค้าจากบริษัทเพิ่มขึ้น แต่หวง ก็บอกว่าบริษัทต้องพิจารณาคำสั่งซื้อแต่ละรายด้วยความระมัดระวัง

“เราจะไม่รับปากจัดสินค้าตามที่ลูกค้าสั่งซื้อเพิ่มในทันที เพราะถ้าเราตัดสินใจจัดสินค้าให้ลูกค้ารายหนึ่งมากกว่า ลูกค้าอีกรายก็จะได้สินค้าน้อยกว่า และมีประเด็นที่น่าสนใจมากคือถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ราคาสินค้าต่อหน่วยจะถูกเมื่อลูกค้าซื้อเยอะ แต่ในช่วงที่เกิดการขาดแคลนชิพแบบนี้ กลายเป็นว่าสินค้าต่อหน่วยจะมีราคาแพงขึ้นถ้าลูกค้าต้องการซื้อมากขึ้น”หวง กล่าว

บริษัทจาง วาห์ ซึ่งมีฐานดำเนินงานอยู่ในเมืองเกาสง ทางตอนใต้ของไต้หวันมีรายได้เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยอยู่ที่ 16,420 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (590 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)สำหรับปี 2563 และในช่วง 5เดือนแรกของปีนี้ จาง วาห์ มีรายได้เพิ่มขึ้น 18% โดยบริษัทยังคงเป็นผู้จัดหาหลัก จัดหาวัตถุดิบที่ใช้สำหรับขึ้นรูปประเภทเทอร์โมเซตติ้งให้แก่บริษัทสุมิโตโมะ เบคไลท์ ผู้ผลิตวัสดุในการบรรจุชิพชั้นนำของโลก

หวง กล่าวปิดท้ายว่า บริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจในจีน ซึ่งรวมถึง การตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทจีน ,เพิ่มการลงทุนในไต้หวัน และในมาเลเซียเพื่อให้บริการลูกค้าที่ไม่ใช่ชาวจีน ตอนนี้เ บริษัทกำลังก่อสร้างโรงงานมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเมืองเกาสง ที่จะเริ่มเดินสายการผลิตได้ปลายปีหน้า นอกจากนี้ บริษัทกำลังพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานในมาเลเซียด้วย