GRAMMY เล็งออก Non-Fungible Token หวังสร้างรายได้ใหม่

GRAMMY เล็งออก Non-Fungible Token หวังสร้างรายได้ใหม่

“แกรมมี่”เล็งสร้างรายได้ใหม่ “สินทรัพย์ดิจิทัล” หวังนำคอนเทนท์ในมือออก Non-Fungible Token คาดชัดเจนภายในปีนี้  พร้อมปรับแผนธุรกิจรับมือโควิดระบาด เล็งหาพันธมิตรต่อยอดธุรกิจ  พร้อมเดินหน้าลดต้นทุนต่อเนื่อง หนุนปีนี้มีกำไร จากปีก่อนขาดทุน 175 ล้านบาท 

นายธนากร มนูญผล รองกรรมการผู้อำนวยงาน หน่วยงาน Group Investment บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จํากัด (มหาชน) หรือ GRAMMY เปิดเผยว่า บริษัทมีความสนใจในธุรกิจทรัพย์สินดิจิทัล ประเภท Non-Fungible Token หรือ NFT เนื่องจากบริษัทมีคอนเทนต์มากมาย ทั้งเพลง ศิลปิน และผลงานอื่นๆ จะสามารถใช้ประโยชน์หรือสร้างรายได้จากเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างไร และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพาร์ทเนอร์ ซึ่งมีโอกาสเห็นธุรกิจใหม่ที่กี่ยวข้องกับ NFT ภายในปีนี้

 “ทุกวันนี้เทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามามีผลต่อธุรกิจของเราเช่นกัน ทำให้เรามีแนวคิดที่จะพัฒนาดิจิทัลแอสเซท โดยออกเหรียญ เพื่อนำมาใช้ในการซื้อหรือแลก สินค้าเกี่ยวกับศิลปินดาราซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาเกี่ยวกับ NFT อยู่ เพื่อหาโอกาสสร้างรายได้ใหม่ในอนาคต”

นอกจากนี้บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์โควิด-19 ระลอก 3  ซึ่งในส่วนธุรกิจเพลง โดยการสร้างคอนเทนต์ใหม่ และขยายธุรกิจไปบนแฟลตฟอร์มดิจิทัล  เพื่อทำให้ธุรกิจนี้มีกำไร และรักษาความเป็นผู้นำต่อเนื่อง รวมถึงได้ปรับแผนการจัดคอนเสิร์ตเหลือ 8 งานปีนี้ คาดจะได้เงินจากการจัดคอนเสิร์ตดังกล่าวประมาณ268 ล้านบาท จากเดิมเป็นสถานการณ์ปกติจะจัดได้ประมาณ 16 งาน

ในส่วนธุรกิจโอช้อปปิ้ง (O Shopping ยังมีดีลร่วมทุน(JV) กับพันธมิตรเพิ่มอีกประมาณ1-2 ดีล ที่จะช่วยพลิกฟื้นต่อยอดธุรกิจโอ ช้อปปิ้ง คาดมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ และธุรกิจหนัง(GDH 559 ) ยังคงพัฒนาคอนเทนต์ใหม่ ในปีนี้ 3 เรื่อง สามารถขยายธุรกิจมาบนแฟลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น พร้อมกับหากลยุทธ์ออนไลน์แคมเปญร่วมกับพันธมิตรธุรกิจมากขึ้น

            

             

นายธนากร กล่าวว่า แผนการลงทุนปีนี้ คาดว่าจะใช้รวมประมาณ 300-400 ล้านบาท สำหรับธุรกิจเพลง, อีเว้นท์ต่างๆ และการลงทุนบริษัทต่างๆ  รวมถึงการตั้งบริษัทร่วมทุน วายจีเอ็มเอ็ม ซึ่งร่วมมือกับ บริษัท วายจีเอ็นเตอร์เทนเมนต์ อิงค์ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศิลปินไอดอลของเกาหลีใต้ คาดว่าจะเริ่มการออดิชั่นศิลปินในปีนี้  และจะสามารถพัฒนาเป็นศิลปินได้ในอีก 3-5 ปี

พร้อมกันนี้ บริษัทเน้นการบริหารลดต้นทุนในระยะ3 ปีข้างหน้า ราว150-200 ล้านบาท หรือเฉลี่ยลดลง ปีละ 50-100 ล้านบาท รวมทั้งสร้างรายได้เพิ่มจากการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจและการเติบโตของบริษัทร่วมทุน

ดังนั้นแม้ว่า รายได้ปีนี้คาดว่าจะปรับตัวลดลง 8-12%จากปี2563  ที่มีรายได้ 5,035.62 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  ทำให้จัดคอนเสิร์ต ,เฟสติวัล ,อีเว้นท์ในปีนี้ต้องเลื่อนและชะลอการจัดออกไป

แต่ทั้งนี้จากที่บริษัทปรับกลยุทธ์ ดังกล่าวทำให้คาดว่าในปีนี้บริษัทยังมีกำไรดีกว่าปีก่อนที่ขาดทุน 175.41 ล้านบาท  โดยสาเหตุที่ปีก่อนขาดทุน เพราะ บันทึกผลขาดทุนจากการปรับโครงสร้างของธุรกิจ GRAMMY ใหม่

ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ คาดเติบโตกว่าปีก่อนจากไตรมาส 2ปี2563 ที่มีกำไรประมาณ 7.5 ล้านบาท หลังบริษัทได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างและมีรายได้จากธุรกิจกิจการร่วมค้าเข้ามาช่วยหนุน อีกทั้งการบริหารต้นทุนให้ 4 ธุรกิจหลักไม่ให้ขาดทุน

“ในช่วงไตรมาส 2 และช่วงที่เหลือหลือปีนี้ หากบริษัทประคองได้เช่นเดียวกับไตรมาส 1 ปีนี้  ที่มีกำไร 398 ล้านบาท  แม้ได้รับผลกระทบโควิด-19 อีกทั้งหวังว่าหากมีการกระจายวัคซีนและเปิดประเทศได้ เชื่อว่าไตรมาส 3 และไตรมาส 4 จะช่วยหนุนธุรกิจหลักทั้ง 4 ด้าน ทั้งธุรกิจเพลง , ธุรกิจโอ ช้อปปิ้ง (O Shopping ), ธุรกิจ GDH 559 และธุรกิจ Z Trading เติบโตได้ต่อเนื่อง"