ASP ชี้ตลาดลงทุนผันผวน แนะกระจายพอร์ตระยะสั้นและยาว

ASP ชี้ตลาดลงทุนผันผวน แนะกระจายพอร์ตระยะสั้นและยาว

“ก้องเกียรติ”แนะนักลงทุนกระจายพอร์ตลงทุนหลัง “ตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ คริปโตฯ”ผันผวนหนัก พร้อมเตรียมปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่ม จากวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยต่อวันพุ่งระดับแสนล้านต่อวัน

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเอเซีย พลัสกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3ในไทยและระลอก 4 ในต่างประเทศรอบนี้ยังสร้างความเสียหายมากกว่าเดิม และในปีนี้ยังเป็นปีที่ยาก ใช่ว่าธุรกิจจะฟื้นกลับมาเหมือนเดิมได้ง่าย เพราะในระยะข้างหน้าภาพเศรษฐกิจก็ได้ไม่ราบรื่น  

ด้านการลงทุน มองว่า นักลงทุนมีโอกาสแต่จะยากขึ้น เพราะโอกาสง่ายๆเกิดขึ้นไปมากแล้ว โดยจะเห็นว่าช่วงนี้ทั้งตลาดหุ้นและสินทรัพย์โภคภัณฑ์ ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ มีความผันผวนมากขึ้นอย่างชัดเจน ดังนั้น การลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยงทั้งพอร์ตระยะยาวและระยะสั้น พร้อมกับหาความรู้เตรียมตัวระมัดระวังการลงทุนในวิกฤติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมากก่อน        

ปีนี้ธีมลงทุนที่คนสนใจมาก เป็นธีมเปิดเมือง ทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่การตัดสินใจลงทุนนั้นย้ำว่า ต้องเปรียบเทียบความถูกแพงระหว่างหุ้นไทยกับต่างประเทศเสมอ เพราะราคาหุ้นไทยไม่ควรแพงเกินเหตุ หากไม่สามารถทำกำไรหรือรายได้ได้ดีกว่าต่างประเทศ

       

ส่วนบริษัทจะปรับเป้าธุรกิจในปีนี้หรือไม่นั้น นายก้องเกียรติ เชื่อว่า ภาพรวมธุรกิจหลักทรัพย์ทั้งระบบปีในปีนี้ คงต้องปรับเป้าใหม่ทั้งรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ภายใต้ปรากฎการณ์ใหม่ต่อเนื่องจากปีก่อนทั้งในไทยและต่างประเทศที่มีนักลงทุนรายใหม่หันมาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นมากขึ้นและในไทยมีปริมาณการซื้อขายระดับแสนล้านบาทต่อวัน  

สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2 นี้ ภาพรวมธุรกิจคงเป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจและการลงทุน ยังไม่สามารตอบได้ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังเน้นผลักดัน 4 ธุรกิจหลักตามเแผนงาน เช่น งานไอพีโอในปีนี้ยังเหลืออี1-2 บริษัท จากช่วงที่ผ่านมานำหุ้นไอพีโอเข้าตลาดแล้ว3 บริษัท มองว่าปีนี้เป็นปีที่ดีกว่าปีก่อน ด้านกองทุนยังคงนำเสนอกองทุนใหม่ๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอกับผู้ลงทุน รวมถึงยังแนะนำกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในหุ้นยุโรปและญี่ปุ่น ที่น่าสนใจจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากโควิด-19 และหลังหุ้นสหรัฐปรับขึ้นมามากแล้ว

อย่างไรก็ตามในไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 349 ล้านบาท เพิ่มขึ้น1,352% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่24 ล้านบาท ถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มาจากทั้ง 4 ธุรกิจหลัก คือธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage),ธุรกิจบริหารจัดการกองทุน (Asset management),ธุรกิจวาณิชธนกิจ (Investment banking) และกำไรพอร์ตลงทุน