เร่งฉีดวัคซีน-คุมระบาด ก่อนประเทศ 'หายนะ'

เร่งฉีดวัคซีน-คุมระบาด ก่อนประเทศ 'หายนะ'

แม้ขณะนี้เริ่มเห็นความพยายามของภาครัฐแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ทั้งรวมศูนย์สั่งการไว้ที่นายกฯ ระดมสมองภาคเอกชน ประกาศมาตรการคุมเข้ม แต่ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดยังถูกตั้งคำถามถึงความล่าช้า เพราะหากเร็วไม่พอประเทศเข้าใกล้ความหายนะเร็วขึ้น

ถึงวันนี้ต้องถือว่ารัฐบาลยังไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นภาคประชาชนและธุรกิจ ในการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ระลอกที่วิกฤติขั้นสุดได้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังอยู่หลักพัน มีผู้เสียชีวิตทุกวัน แม้จะเห็นความพยายามภาครัฐที่ต้องการหยุดตัวเลขผู้ติดเชื้อ ทั้งความพยายามรวมศูนย์สั่งการไว้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมถึงการระดมสมองร่วมกับภาคธุรกิจ ซีอีโอระดับชั้นนำของประเทศ แต่ดูเหมือนว่ายังไม่ถึงที่สุดของความพยายาม การฉีดวัคซีนในประเทศยังล่าช้า และไม่มากพอที่จะหยุดเชื้อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นได้ 

การประกาศมาตรการคุมเข้มจากมติของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 เข้าร่วมประชุม อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานด้านความมั่นคง เป็นความพยายามครั้งล่าสุด ที่ต้องการหยุดเชื้อไม่ให้ระบาดในวงกว้าง มาตรการเช่น ปรับระยะเวลากักตัวเป็น 14 วัน สำหรับผู้เดินทางเข้ามาในประเทศ จากเดิมที่ลดเหลือ 7-10 วัน การปรับระดับคุมเข้มพื้นที่รายจังหวัดเป็นสีแดงเข้ม ที่ต้องควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ห้ามจัดกิจกรรมที่รวมกลุ่มมากกว่า 20 คน ร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มให้นำกลับ งดบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม สุราในร้าน และเปิดให้บริการได้จนถึงเวลา 21.00 น. 

เช่นเดียวกับห้างสรรพสินค้าเปิดได้ถึง 21.00 น. ร้านสะดวกซื้อ ตลาดนัดกลางคืน ตลาดโต้รุ่ง เปิดได้ไม่เกิน 23.00 น. และเปิดในเวลา 04.00 น. สำคัญที่สุด คือ งดเดินทางออกนอกพื้นที่ให้ประชาชนอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดโรค มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 1 พ.ค.2564 เป็นเวลา 14 วัน นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ควบคุมในระดับสีแดงอีก 45 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสีส้ม 26 จังหวัด ศบค.ยังเห็นชอบให้กำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับการบังคับใช้ ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า เพื่อป้องกันการแพร่กระจายโรค ทั้งหมด คือ มาตรการคุมเข้มช่วง 14 วันนับจากนี้ถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่จะพิสูจน์ว่า รัฐจะหยุดตัวเลขผู้ติดเชื้อได้หรือไม่

ส่วนความคืบหน้าการฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ยังคงถูกตั้งคำถามถึงความล่าช้า ซึ่งสุดท้ายแล้วการประชุมระหว่างรัฐบาล และเอกชน เรื่องการจัดการวัคซีนร่วมกัน เป็นเพียงการให้เอกชนรับทราบเป้าหมายการฉีดวัคซีนที่รัฐตั้งเป้าเอาไว้ลอยๆ ว่า จะฉีดให้คนไทย 50 ล้านคนภายในปี 2564 ผ่านการตั้งคณะทำงานร่วมกัน 4 ด้าน เราเห็นว่าภารกิจเร่งด่วนเหนือสิ่งอื่นใดขณะนี้ คือ หาทางเร่งฉีดวัคซีนให้เร็ว และครอบคลุมมากที่สุด เมื่อรัฐต้องการบริหารจัดการวัคซีนด้วยตัวเอง ยิ่งต้องเร่งกระบวนการให้เร็ว เพราะต้องบอกว่าที่รัฐทำอยู่วันนี้มันยัง “เร็วไม่พอ” รัฐบาลยิ่งช้าประเทศยิ่งเข้าใกล้ความหายนะเร็วขึ้น