จับตาสัมพันธ์สามเส้า 'สหรัฐ-จีน-ไต้หวัน'

จับตาสัมพันธ์สามเส้า 'สหรัฐ-จีน-ไต้หวัน'

จับตาสัมพันธ์สามเส้า "สหรัฐ-จีน-ไต้หวัน" ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า การข่มขู่ไต้หวันของจีนที่รุนแรงขึ้นอาจเป็นแค่สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เลวร้ายลงระหว่างสหรัฐและจีนที่ต่างก็เป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก

เมื่อวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา สำนักงานกิจการไต้หวันของจีนโจมตีรัฐบาลไต้หวันและผู้สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนในไต้หวันว่าสมคบกับกองกำลังต่างชาติปลุกปั่นยั่วยุมุ่งทำลายสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค พร้อมทั้งกล่าวปกป้องการซ้อมรบของจีนใกล้ไต้หวันว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการจัดการกับสถานการณ์ความมั่นคงในช่องแคบไต้หวันและเพื่อปกป้องอธิปไตยของจีน สถานการณ์แบบนี้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารบางกลุ่มคาดการณ์ว่า จีนจะใช้กำลังโจมตีไต้หวัน แต่มีนักวิเคราะห์บางกลุ่มมองว่าวิวาทะข้ามประเทศระหว่างจีน ไต้หวันที่มีสหรัฐเป็นตัวแปรสำคัญเป็นแค่สิ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่เลวร้ายลงระหว่างสหรัฐและจีนเท่านั้น ไม่ได้จะนำไปสู่การโจมตีด้วยกำลังแก่ไต้หวันตามที่รัฐบาลปักกิ่งขู่

เป็นครั้งแรกในรอบกว่าครึ่งศตวรรษที่ผู้นำสหรัฐและญี่ปุ่นจะพบกันในสัปดาห์นี้และออกแถลงการณ์ในประเด็นด้านความมั่นคงช่องแคบไต้หวันร่วมกัน โดยคาดว่านายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูกะของญี่ปุ่นจะหารือกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐเกี่ยวกับการขยายแสนยานุภาพของจีน โดยเฉพาะกรณีหมู่เกาะเซ็งกากุ หรือที่ฝ่ายจีนเรียกว่า หมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์ ซึ่งจีนได้แก้ไข กฎหมายการป้องกันภัยทางทะเล เพื่อเปิดทางให้เรือลาดตระเวนของจีนสามารถใช้อาวุธได้ หากพบการล่วงล้ำของเรือต่างชาติ

ญี่ปุ่นกังวลว่า กฎหมายนี้อาจทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันจากการปะทะกัน เนื่องจากเรือของจีนเข้ามาในน่านน้ำพื้นที่พิพาทดังกล่าวอยู่เป็นประจำ โดยที่หน่วยยามฝั่งของญี่ปุ่นไม่สามารถใช้อาวุธได้

ญี่ปุ่นต้องการใช้สหรัฐยืนยันว่า พื้นที่หมู่เกาะเซ็งกากุอยู่ในข้อตกลงความมั่นคงที่สหรัฐจะช่วยคุ้มครองญี่ปุ่นได้ หากถูกคุกคามจากต่างชาติ รวมทั้งสร้างพื้นที่อินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ของสหรัฐและพันธมิตรในการต่อต้านการขยายอิทธิพลของจีน

พลเรือเอกจอห์น อควิลิโน ได้แจ้งต่อคณะกรรมาธิการด้านการทหารของวุฒิสภาสหรัฐเมื่อไม่นานมานี้ว่า ไต้หวันเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ขณะที่ฟิลิป เดวิดสัน ผู้บัญชาการประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก คาดการณ์ว่าจีนอาจจะใช้กำลังโจมตีไต้หวันใน6ปีข้างหน้า

ความวิตกกังวลและการคาดการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องสมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาจากการกระพือข่าวของสื่อรัฐบาลจีนและการส่งเครื่องบินรบจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆของกองทัพจีนลุกล่้ำเข้าไปในเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ(เอดีไอซี)ของไต้หวัน แต่สำหรับชาวไต้หวันแล้ว ไม่เคยต้องวิ่งหาที่หลบระเบิดที่มีอยู่ 117,000 แห่งทั่วประเทศหรือทำกิจกรรมใดๆที่สะท้อนว่าเตรียมรับมือการโจมตีด้วยกำลังทหารจากจีน

การดำเนินชีวิตภายใต้คำขู่และการคุกคามจากกองทัพจีน(พีแอลเอ)ตลอด 70 ปีที่ผ่านมา ทำให้ชาวไต้หวัน 23 ล้านคนเข้าใจดีถึงการแสดงออกในรูปแบบต่างๆของจีนแผ่นดินใหญ่ แม้ว่าทุกวันนี้กองทัพจีนจะเกรียงไกรแต่การใช้กำลังทหารบุกโจมตีไต้หวันไม่น่าจะเกิดขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า การข่มขู่คุกคามไต้หวันของจีนที่รุนแรงขึ้นและการปกป้องไต้หวันของสหรัฐอาจจะเป็นแค่สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เลวร้ายลงระหว่างสหรัฐและจีนที่ต่างก็เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก

“พรรคคอมมิวนิสต์จีน(ซีซีพี)หวังที่จะรวมชาติกับไต้หวันมานานหลายทศวรรษและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าอาจใช้กำลังในแผนการรวมชาติกับไต้หวัน”อีริค ลี นักวิจัยจากโปรเจ็ค 2049 อินสติติว ในอาร์ลิงตัน เวอร์จิเนีย กล่าว

ขณะที่“บอนนี เกลเซอร์” ผู้อำนวยการไชนา พาวเวอร์ โปรเจค จากศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และการศึกษาระหว่างประเทศ(ซีเอสไอเอส) มีความเห็นว่า ความท้าทายนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่สะท้อนถึงการคุกคามจากซีซีพีและพีแอลเอในบริบทของการดำเนินยุทธศาสตร์ด้านการแข่งขันของสหรัฐกับจีน

ขณะที่สำนักงานผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐ(โอดีเอ็นไอ) ซึ่งมีองค์กรหลายแห่งรวมทั้งหน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐ(ซีไอเอ) อยู่ภายใต้สังกัด ได้จัดลำดับในรายงานประเมินด้านความมั่นคงปีล่าสุดว่า จีน รัสเซีย อิหร่าน และ เกาหลีเหนือเป็นประเทศที่ท้าทายอิทธิพลของสหรัฐในเวทีโลก

รายงานนี้เรียบเรียงโดยหน่วยข่าวกรองของสหรัฐซึ่งนำเสนอข้อมูลสำคัญๆด้านความมั่นคงต่อวุฒิสภาทุกปี แต่เมื่อปี 2562 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์วิจารณ์การประเมินของหน่วยข่าวกรองว่าไม่เด็ดขาดและดีพอ จึงทำให้ไม่มีการรายงานถึงภัยคุกคามต่างๆในปี 2563 ต่อวุฒิสภา ด้วยเหตุนี้ รายงานประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคงของปีนี้จึงมีความสำคัญอย่างมาก

รายงานปี 2564 ระบุว่า ปัจจุบัน จีนเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งของสหรัฐโดยรัฐบาลจีนใช้กลยุทธ์แซกแทรงความสัมพันธ์ที่ดีของสหรัฐกับประเทศพันธมิตร และ พยามสร้างบรรทัดฐานโลกใหม่ที่สนับสนุนแนวคิดการปกครองระบอบเผด็จการตามแบบจีน

นอกจากนี้ จีน ยังพร้อมที่จะเพิ่มขนาดกองทัพในประเทศต่างๆและแสดงการแสนยานุภาพของขีปนาวุธอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาและสั่งสมคลังแสงของหัวอาวุธนิวเคลียร์ที่มีความทันสมัยและอันตรายมากขึ้น เพื่อที่จีนจะสามารถโต้กลับด้วยอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศตนเอง หากถูกโจมตีด้วยอาวุธชนิดดังกล่าวจากประเทศอื่น

ส่วนการแข่งขันด้านอวกาศและเทคโนโลยีนั้น รายงานข่าวกรองของสหรัฐ ระบุว่า สถานีอวกาศของจีนที่จะทำการโคจรรอบโลกต่อไปในระยะเวลาสามปี เป็นภัยคุกคามสำคัญ เนื่องจากจีนสามารถทำการโจมตีทางออนไลน์ ขัดขวางและก่อกวนระบอบการสื่อสารในสหรัฐได้

แต่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง คาดว่า จีนจะพยามหาโอกาสที่จะสร้างไมตรีกับสหรัฐ ตราบใดก็ตามที่ความร่วมมือระหว่างสองประเทศเอื้อประโยชน์ต่อจีนมากกว่า