การทูตปิงปองลูกตบ 'จีน-สหรัฐ'

การทูตปิงปองลูกตบ 'จีน-สหรัฐ'

เมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้วความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐพัฒนาขึ้นจากการแข่งขันปิงปองโลก จากก่อนหน้าที่ม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน แต่วันนี้การทูตกลับกลายเป็นลูกตบ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตั้งใจประคับประคองเพื่อเสริมสร้างมิตรภาพ แต่ตั้งใจโชว์ลูกตบเพชฌฆาต

เคยได้ยินตำนานการทูตปิงปองที่ลือลั่นไหมครับ เมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้วในขณะที่จีนและสหรัฐยังเป็นไม้เบื่อไม้เมาและไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน ทีมปิงปองจีนและทีมปิงปองสหรัฐได้พบกันในการแข่งขันปิงปองโลกที่ญี่ปุ่น ปรากฏว่าสองทีมเลี้ยงลูกโต้กันอย่างเป็นมิตร พูดคุยกันอย่างมีไมตรีจิต

จนรัฐบาลจีนในเวลานั้นได้มีคำเชิญให้ทีมปิงปองสหรัฐไปเยือน ส่วนรัฐบาลสหรัฐก็ตีความว่าเป็นการส่งสัญญาณจากฝ่ายจีนว่าต้องการเริ่มต้นความสัมพันธ์ จนเปิดทางไปสู่การเดินทางเยือนจีนครั้งแรกของประธานาธิบดีนิกสันในเวลาต่อมา แต่มาถึงวันนี้ ความสัมพันธ์เหมือนย้อนวงจรกลับไปสู่สภาวะไม้เบื่อไม้เมา หลายคนบอกว่าเป็นจุดตกต่ำที่สุดตั้งแต่เริ่มฟื้นความสัมพันธ์ต่อกันมา

ถ้าเราจะเปรียบการพบกันที่อลาสกาเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วระหว่างทีมต่างประเทศของทั้งสองประเทศว่าเป็นดังเช่นการทูตปิงปอง ก็คงต้องเสริมว่า รอบนี้เป็น “การทูตปิงปองลูกตบ” กล่าวคือในการเจรจาทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตั้งใจเลี้ยงลูกประคับประคองกันเพื่อเสริมสร้างมิตรภาพ แต่ตั้งใจโชว์ลูกตบเพชฌฆาตข้างเดียว แถมเป้าหมายไม่ได้ตั้งใจตบโชว์อีกฝ่ายเท่านั้น แต่ยังตั้งใจให้กล้องจับลีลาคารมคมคายให้ไปลือลั่นในหมู่ผู้ชมกองเชียร์ภายในประเทศตัวเอง

วาทะเด็ดที่เสมือนลูกตบสามลูกซ้อนเปิดเกมของ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐก็คือ การประกาศชัดเจนตั้งแต่สุนทรพจน์เปิดการเจรจาว่า 1.สหรัฐไม่โอเคกับพฤติกรรมของจีนในเรื่องซินเจียง ทิเบต ฮ่องกง ไต้หวัน 2.สหรัฐไม่โอเคที่จีนคุกคามพันธมิตรของสหรัฐในเรื่องเศรษฐกิจ (สหรัฐหมายถึงออสเตรเลีย) และ 3.สหรัฐไม่โอเคที่จีนโจมตีทางไซเบอร์ต่อสหรัฐเพื่อล้วงข้อมูลเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

ส่วนฝั่งจีนนั้น ลูกตบเด็ดที่สุดของจีนตอนเปิดเกมเจรจา ก็คือประโยคเด็ดของหยาง เจี๋ยฉือ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการงานต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์ (เบอร์ 1 ของทีมต่างประเทศจีน) ที่ว่า วันนี้สหรัฐไม่สามารถพูดกับจีนจากจุดยืนที่ว่าสหรัฐแข็งแกร่งได้อีกต่อไป

พร้อมทั้งแจกแจงปัญหาความล้มเหลวของสังคมสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งเรื่องสีผิว ไปจนถึงการระบาดของโควิดที่ควบคุมไม่ได้ ต่อด้วยการยืนยันว่าเรื่องทิเบต ซินเจียง ฮ่องกง ไต้หวัน ล้วนเป็นเรื่องกิจการภายในของจีน ส่วนเรื่องโจรกรรมทางไซเบอร์ จีนย้อนว่าสหรัฐต่างหากที่เป็นเบอร์ 1 ของโลกในการโจรกรรมข้อมูลไซเบอร์

การประชุมครั้งนี้สะท้อนชัดเจนว่า เรื่องความมั่นคงกลายเป็นประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสนใจเป็นลำดับแรก ส่วนเรื่องเศรษฐกิจการค้า เช่น กำแพงภาษี การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา การบิดเบือนค่าเงิน กลายเป็นเรื่องรองๆ ที่ไม่ใช่ประเด็นหลัก แตกต่างจากการเจรจาในสมัยของทรัมป์ที่สงครามเศรษฐกิจการค้าเป็นประเด็นหลักในความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ

หากให้สรุปผลของการประชุมที่อลาสกา นอกจากผู้ชมทั่วโลกต่างได้ชมลูกตบชนิดสะใจกองเชียร์ของแต่ละฝ่ายแล้ว อาจสรุปผลการพบกันเป็น 3 ข้อ 1.ต่างฝ่ายต่างแถลงจุดยืนและข้อกังวลของตนให้อีกฝ่ายรับรู้อย่างชัดเจน หัวใจคือเรื่องความมั่นคง สหรัฐเห็นว่าจีนเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงต่อสหรัฐและต่อเพื่อนบ้านของจีน (เช่น เรื่องข้อพิพาทไต้หวัน ข้อพิพาทชายแดนอินเดีย และข้อพิพาททะเลจีนใต้) ส่วนจีนมองว่าสหรัฐมายุ่งกับกิจการภายในของจีน และมาตั้งคำถามกับความชอบธรรมของการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

2.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเปิดช่องทางการสื่อสารระหว่างกัน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด และให้มีการจัดประชุมผู้นำระดับสูงในลักษณะเช่นนี้อีก ในการประชุมที่อลาสการอบนี้ ในขณะที่หยาง เจี๋ยฉือ เปิดเกมด้วยลูกตบแล้ว หวาง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนกลับรับไม้ต่อด้วยบทนุ่มนวล ป้อนลูกสวยๆ ให้ฝั่งสหรัฐโดยบอกว่าทั้งแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ และเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ ล้วนแต่เป็นเพื่อนเก่าแก่ของจีน คุ้นเคยกับทีมต่างประเทศจีนเป็นอย่างดี แตกต่างจากยุคของทรัมป์ที่ทีมต่างประเทศและความมั่นคงล้วนไม่มีพื้นเพความสัมพันธ์กับทีมจีน

3.เรื่องที่ตกลงกันได้เป็นรูปธรรมมีเพียงเรื่องเดียว คือทั้งสองฝ่ายจะตั้งคณะทำงานเพื่อต่อสู้ภัยโลกร้อนร่วมกัน โดยเห็นว่าการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนไม่มีทางสำเร็จ ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากชาติที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเช่นจีน ส่วนทางจีนเอง นโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาดก็เป็นนโยบายสำคัญในแผนพัฒนา 5 ปี ฉบับใหม่ของจีน

การทูตปิงปองลูกตบนัดแรก สะท้อนว่าหมดยุคที่สองฝ่ายจะเล่นเกมเศรษฐกิจกันฉันมิตรเช่นในอดีตอีกต่อไป แต่เป็นการเปิดเกมคู่แข่งทางยุทธศาสตร์ที่ร้อนแรง ประเด็นความมั่นคงมาเป็นอันดับแรก ตอนนี้มองโลกในแง่ดีได้อย่างเดียวว่า อย่างน้อยทั้งสองประเทศก็ยังยอมที่จะมีปฏิสัมพันธ์และเปิดทางพูดคุยกันอยู่ แม้จะเป็นปฏิสัมพันธ์ชนิดลูกตบเขย่าขวัญโลกก็ตาม