‘อิปซอสส์’ เปิดผลวิจัย 1 ใน 3 ของคนไทยสนใจซื้อบิทคอยน์

‘อิปซอสส์’ เปิดผลวิจัย 1 ใน 3 ของคนไทยสนใจซื้อบิทคอยน์

บิทคอยน์ (Bitcoin) กลายเป็นสินทรัพย์ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ เนื่องจากราคาเหรียญที่ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว และสามารถสร้างผลตอบแทนมหาศาลคืนแก่นักลงทุนภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

จากประมาณ 2.2 แสนบาทในเดือน มี.ค.2563 มาอยู่ที่ประมาณ 1.68 ล้านบาทในปัจจุบัน (ณ 24 มี.ค.2564) ปรับขึ้นราว 1.46 ล้านบาท หรือปรับขึ้นประมาณ 660% แม้ราคาจะปรับขึ้นร้อนแรงมากแล้ว แต่บิทคอยน์ก็ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนหน้าใหม่อย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากงานวิจัยของ บริษัท อิปซอสส์ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ Ipsos ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้และพฤติกรรมของคนไทยต่อบิทคอยน์ จากกลุ่มตัวอย่างประชากรจำนวน 500 คนผ่านช่องทางออนไลน์ในช่วงเดือน ก.พ.2564

“อิษณาติ วุฒิธนากุล" ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด Ipsos กล่าวว่า ผลการสำรวจพบว่าคนไทย 68% มีความสนใจในบิทคอยน์  20% ไม่สนใจในบิทคอยน์ และอีก 12% ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับบิทคอยน์ ทั้งนี้ สัดส่วนของผู้สนใจลงทุนอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างสูง โดยคาดว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้คนมีเวลาว่างมากขึ้นจากการทำงานจากบ้าน (Work from Home) รวมถึงการรับข่าวสารจากสื่อ

เมื่อสอบถามถึงความสนใจและเหตุผลในการลงทุนบิทคอยน์ พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ความต้องการสร้างผลกำไรที่รวดเร็ว 68% 2. ความต้องการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลเพิ่มขึ้น 59% และ 3. ความประสงค์ลงทุนเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว 42%

“เหตุผลหลักที่คนเข้ามาลงทุนเพราะได้เงินง่ายและเร็ว แต่เราคาดว่าที่ผลการสำรวจเป็นเช่นนี้ เนื่องจากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ราคาของบิทคอยน์เป็นขาขึ้น ทำให้ทุกคนที่เข้ามาลงทุนได้กำไรกันหมด” อิษณาติ กล่าว

161660272797

หากพิจารณาตามกลุ่มอายุ พบว่า กลุ่มคนอายุระหว่าง 18-29 ปีเป็นกลุ่มที่สนใจลงทุนบิทคอยน์มากที่สุดจำนวน 72% แต่ยังมีข้อจำกัดด้านเงินทุน ส่วนกลุ่มคนอายุ 30-39 ปี แม้ว่าจะมีความสนใจลงทุนลดลงจากกลุ่มแรกอยู่ที่ 32% แต่เป็นกลุ่มที่มีการซื้อขาย และการหยุดซื้อขายมากที่สุด ขณะที่ 42% ของกลุ่มนี้สนใจลงทุนในระยะยาว และใช้ผลตอบแทนเป็นเงินทุนสำหรับชีวิตในวัยเกษียณ

กลุ่มคนอายุ 40 - 49 ปี จำนวน 28% ของคนกลุ่มนี้ไม่สนใจที่จะลงทุน เนื่องจากขาดความเข้าใจในการทำงานของบิทคอยน์ ที่แตกต่างจากระบบการเงินแบบรวมศูนย์ (Centralized Monetary System) ที่มีธนาคารเป็นศูนย์กลางข้อมูลทางการเงินของลูกค้า และถูกควบคุมโดยธนาคารกลางของประเทศ ซึ่งผู้ลงทุนส่วนใหญ่มีความคุ้นเคยกับระบบดังกล่าวเป็นอย่างดี

 ​ส่วนกลุ่มคนอายุ 50 ปีขึ้นไป ในกลุ่มนี้มีคนถึง 45% ที่ไม่เคยลงทุน และไม่สนใจที่จะศึกษาหรือลงทุนในบิทคอยน์ โดยมีจำนวนถึง 4% ที่ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับบิทคอยน์เลย

“ที่คนอายุน้อยสนใจลงทุนในบิทคอยน์มากที่สุด เพราะอันดับแรกไม่สามารถเปิดพอร์ตหุ้นได้ รวมถึงจำนวนเงินที่ลงทุนต่อครั้งไม่มากเท่าหุ้นที่ต้องซื้อจำนวนเต็ม นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามบางส่วนให้ข้อมูลว่ามีการโยกเงินออกจากหุ้นและกองทุนมาลงทุนในบิทคอยน์ตามแนวโน้มราคาที่ปรับขึ้น และอีกส่วนหนึ่งเลือกลงทุนในบิทคอยน์เพื่อกระจายความเสี่ยง” อิษณาติ กล่าว

หากพิจารณาตามเพศ พบว่าเพศหญิงและเพศชายมีความสนใจลงทุนในบิทคอยน์ที่ใกล้เคียงกัน แตกต่างจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่นที่เพศชายจะให้ความสนใจมากกว่าเพศหญิง นอกจากนี้ พบว่าเพศหญิงยังเป็นเพศที่ให้ความสนใจศึกษาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับบิตคอยน์ผ่านช่องทางต่างๆ มากกว่าเพศชายอีกด้วย

โดยแหล่งข้อมูลที่นักลงทุนให้คะแนนสูงสุด ได้แก่ 1. ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน 77% 2. อินฟลูเอ็นเซอร์และสื่อสังคมออนไลน์ 32% 3. สมาชิกครอบครัวหรือเพื่อน 22% 4. เพื่อนร่วมงานและลูกค้า 19% และ 5. โฆษณา 19% ซึ่งการให้คะแนนแก่ผู้ที่มีความรู้ด้านการเงินสูงสุดเป็นข้อดีที่จะทำให้ตลาดบิทคอยน์ในประเทศไทยเติบโตในระยะยาวได้อย่างมีคุณภาพ

เมื่อสอบถามเพิ่มเติมกับกลุ่มคนที่เคยมีประสบการณ์ลงทุนในบิทคอยน์ พบว่า 76% เลือกที่จะแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทดังกล่าวแก่บุคคลอื่นๆ โดยเหตุผลหลัก 67% เชื่อว่าการลงทุนในบิทคอยน์เป็นการลงทุนที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มคนอายุ 18-29 ปี พบว่า 82% จะแนะนำการลงทุนบิทคอยน์แก่บุคคลอื่น

ถัดมา 28% มองบิทคอยน์ในฐานะการแสดงออกทางอัตลักษณ์ หรือเป็นการแสดงตัวตนว่าตนเองเปิดรับเทคโนโลยีและเปิดรับโลกการเงินในอนาคต ส่วนเหตุผลอันดับที่สาม 27% เชื่อว่าหากมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในบิทคอยน์มากขึ้น จะส่งผลให้มูลค่าตลาดเติบโตมากขึ้นและส่งผลให้ตนเองได้รับผลตอบแทนมากขึ้น

ทั้งนี้ แพลตฟอร์มที่คนเลือกซื้อขายมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. บิทคับ (bitkub) 2. ไบแนนซ์ (BINANCE) และ 3. สตางค์ โปร (Satang Pro) โดยส่วนใหญ่ใช้เงินเดือนเพื่อซื้อขายบิทคอยน์

“อิษณาติ” กล่าวว่า เมื่อพิจารณาแนวโน้มการเติบโตของตลาดบิทคอยน์ในประเทศไทย เชื่อว่าในอีก 1 ปีนับจากนี้จะยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี จากผลสำรวจที่คนไทยมากกว่า 1 ใน 3 ให้ความสนใจลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าว อีกทั้ง 42% ของผู้ที่สนใจลงทุนในบิทคอยน์และยังไม่ได้เข้ามาลงทุนตอบว่ามีแผนจะลงทุนภายใน 1 ปี 39% มีแผนจะลงทุนแต่ยังไม่ระบุว่าช่วงไหน ส่วนอีก 19% ยังไม่มีแผนจะลงทุน

“ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนที่สนใจแต่ยังไม่เข้ามาลงทุนไม่ใช้เพราะกลัวความเสี่ยง แต่มาจากทุนทรัพย์หรือความรู้ที่ไม่เพียงพอ เมื่อมองย้อนกลับมาที่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในประเทศ เราแนะนำว่าควรออกมาให้ความรู้มากกว่าการห้ามหรือควบคุม ซึ่งการให้ความรู้ความเข้าใจที่มากขึ้นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่า” อิษณาติ กล่าว

เมื่อสอบถามถึงปัจจัยเสี่ยงที่จะเข้ามากระทบกับบิทคอยน์ “อิษณาติ” กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลถือเป็นความเสี่ยงสูงสุดต่อราคา หากภาครัฐเข้ามาควบคุมหรือประกาศห้ามซื้อขายอย่างในกรณีประเทศจีนอาจจะส่งผลให้ราคาร่วงอย่างรุนแรงได้ เนื่องจากปัญหาสำคัญคือจะไม่สามารถนำไปชำระราคาสินค้าต่างๆ ได้