การเงินแบบ 'Defi' กับข้อสังเกตทางกฎหมาย

การเงินแบบ 'Defi' กับข้อสังเกตทางกฎหมาย

ทำความรู้จัก "Defi" นวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ที่ให้สามารถติดต่อทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างกันได้โดยตรง ซึ่งไม่ต้องผ่านตัวกลางผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินเดิม และการกำกับดูแลจากภาครัฐ

ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา โลกการเงินถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว นับจากคิดค้นบิทคอยน์ในปี 2551 และเริ่มใช้ในปี 2552 จากนั้นก็เกิดเหรียญสกุลต่างๆ กว่าพันสกุล ต่อมาในราวปี 2560 ได้มีการนำคริปโตเคอเรนซีประเภทต่างๆ ไประดมทุนแบบไอซีโอ 

ล่าสุด เราก็ได้รู้จักกับนวัตกรรมทางการเงินในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Defi หรือ Decentralized Finance ซึ่งสำหรับผู้เขียน นวัตกรรมทั้งหมดที่กล่าวมานี้มีวัตถุประสงค์เดียวกันคือ ความพยายาม “ตัดตัวกลาง” ซึ่งตัวกลางในที่นี้คือ “ผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินเดิม” และ “หน่วยงานกำกับดูแล”

  • Defi คืออะไร?

Defi คือ การสร้างระบบการเงินรูปแบบใหม่ที่ให้ทุกคนสามารถติดต่อทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างกันได้โดยตรง ผ่านการทำงานของเทคโนโลยี เช่น 1) ใช้ Cryptography ในการสร้างชุดข้อมูลแบบเข้ารหัสเพื่อให้เกิดส่งข้อมูลระหว่างกันในระบบ 2) ใช้บล็อกเชนซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการพื้นฐานในการทำงาน และ 3) ใช้ Smart Contracts เพื่อสร้างเงื่อนไขและข้อตกลงในการทำธุรกรรม ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดความสัมพันธ์ทางเงินบน Defi

ดังนั้น ในทางปฏิบัติ Defi จึงเป็นระบบเปิดที่ซับซ้อนและถูกสร้างไว้บนบล็อกเชนแบบสาธารณะ มีคุณสมบัติในการอนุญาตให้บุคคลต่างๆ สามารถบันทึกธุรกรรมทางการเงินที่ทำระหว่างกันได้ โดยไม่ต้องทำ KYC ปราศจากการกำกับดูแลจากภาครัฐ และมีต้นทุนในการดำเนินการที่ถูกกว่าหากเปรียบเทียบกับการทำธุรกรรมกับผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินในแบบเดิม

  • การทำงานของ Defi

ดังนั้น เมื่อใช้เทคโนโลยีสร้างโปรแกรมทางการเงินตามที่ได้กล่าวในข้างต้น ก็ต้องมีการสร้างระบบนิเวศทางการเงินให้สามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้ ในทางปฏิบัติ Defi จึงมักใช้กลไกการสร้าง Stable Coin ซึ่งเปรียบเสมือนตัวกลางที่รักษามูลค่าของสินทรัพย์บนแพลตฟอร์ม 

การออก Stable Coin สามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะนำไปผูกไว้กับมูลค่าของสกุลเงินจริง (เช่น ดอลลาร์) หรือผูกมูลค่ากับคริปโตสกุลต่างๆ หรืออาจกล่าวได้ว่า Stable coin คือเหรียญที่เก็บมูลค่าและมีกลไกเชื่อมโยงกับสินทรัพย์ที่ใช้หนุนหลังหรือค้ำประกัน ดังนั้น เมื่อมี “มูลค่า” ก็สามารถนำมาใช้เป็น “สื่อกลางในการทำธุรกรรมทางการเงินได้หลากหลาย” ไม่ต่างไปจากสินทรัพย์ทางการเงินที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น MakerDAO โปรเจคที่มีการออกเหรียญ Stable Coin ชื่อ DAI โดยนำมูลค่าของคริปโตสกุลต่างๆ มาค้ำประกันไว้ DAI จึงมีมูลค่าและถูกคงมูลค่าตามสินทรัพย์ที่ค้ำประกัน 

ด้วยเหตุผลนี้ Defi แพลตฟอร์มจึงเป็น “ระบบการเงินรูปแบบใหม่” ที่ “ไม่พึ่งตัวกลาง” และสามารถทำธุรกรรมทางได้หลายรูปแบบ เช่น โอนชำระราคา ซื้อขายเงินตรา แลกเปลี่ยน ชำระราคา ให้สินเชื่อ ซื้อขายอนุพันธ์/ตราสารทางการเงิน การเทรดมาร์จิน รวมไปถึงขายประกัน

  • Defi เมื่อเทียบกับธนาคาร

สำหรับผู้เขียน Defi กับธนาคารมีขอบเขตในการดำเนินงานที่ต่างกัน กล่าวคือขณะที่ Defi สามารถทำธุรกรรมได้ครอบคลุมทั้งธุรกิจธนาคาร ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจประกันภัย แต่ขอบเขตการประกอบธุรกิจของธนาคารไม่เป็นเช่นนั้น 

เช่น ภายใต้กฎหมายไทย แม้ธนาคารพาณิชย์จะสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้หลากหลายแต่ก็ไม่สามารถประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ได้ในทุกประเภท หรือหากประสงค์จะทำธุรกิจประกันภัยก็จะไม่สามารถออกกรมธรรม์ประกันวินาศภัยและประกันชีวิต (ทำได้เพียงเป็นโบรกเกอร์) ดังนั้น โครงสร้างธุรกิจการเงินในไทยจึงมีการสร้างบริษัทในเครือ เพื่อทำธุรกิจที่ธนาคารพาณิชย์ถูกจำกัดไว้

หากเทียบกับ Defi ที่ทุกอย่างถูกสร้างไว้ด้วยโปรแกรมทางการเงินแบบไร้ตัวกลาง และระบบสามารถทำงานได้เองโดยเชื่อมต่อบุคคลต่างๆ เข้าด้วยกัน ก็ถือว่าได้เปรียบอยู่มากในเชิงโครงสร้าง ประกอบกับเมื่อระบบจัดการตัวเองได้แบบไร้ตัวกลาง บทบาทหน้าที่ของธนาคารกลาง เช่น การดำเนินการเกี่ยวกับการหักบัญชีระหว่างสถาบันการเงิน การควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (ตามกฎหมายว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงิน) หรือการกำกับตรวจสอบความเสี่ยงของสถาบันการเงิน ก็ไม่มีความจำเป็นเช่นกัน

  • Defi กับข้อสังเกตทางกฎหมาย

อย่างไรก็ดี แม้ Defi อาจได้เปรียบในเชิงโครงสร้าง แต่ในทางกฎหมายก็มีข้อสังเกตอันพึ่งพิจารณาก่อนเข้าใช้บริการอยู่ในหลายประเด็น

ประการแรก เมื่อตัดตัวกลางก็แปลว่าตัดหน่วยงานกำกับดูแลออก ดังนั้น การดำเนินการของ Defi จะไร้การกำกับ ตรวจสอบ วิเคราะห์ฐานะ และประเมินความเสี่ยงในการดำเนินงานจากภาครัฐ อย่างไรก็ดี หากมีความเสียหายเกิดขึ้นจากการให้บริการที่ไม่เป็นธรรม ก็เป็นไปได้ว่ากระบวนการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคอาจจะน้อยกว่าหรือไม่มีเมื่อเทียบกับระบบการเงินที่มีการกำกับในปัจจุบัน 

เช่น หากแพลตฟอร์มเกิด Bugs และมีการเปลี่ยนแปลง Protocols หรือมีเหตุในการปิดให้บริการแบบกะทันหันและ Admin Key มีการโอนทรัพย์สินของลูกค้าออกไป ผู้ใช้บริการอาจไม่ได้รับความคุ้มครองจากความเสียหายนั้น หากเปรียบเทียบกับผู้ฝากเงินในระบบ ยังมีสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (DPA) ในการคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งจะมีการจ่ายคืนเงินให้แก่ผู้ฝากเมื่อสถาบันการเงินปิดกิจการ นอกจากนี้สิทธิของผู้บริโภคยังได้รับคุ้มครองผ่านหน่วยงานกำกับและกระบวนการยุติธรรมอีกชั้นหนึ่งด้วย

ประเด็นที่สอง สืบเนื่องจากกรณีสมมติในข้างต้น ข้อสังเกตของผู้เขียนคือ ฟ้องใคร? ต่อศาลใด? และใช้กฎหมายของประเทศใด? กล่าวคือเมื่อระบบไม่ได้ทำ KYC ไว้ ก็เป็นไปได้ว่าเราอาจไม่ทราบด้วยซ้ำว่ากำลังทำธุรกรรมอยู่กับบุคคลใด และหาก Defi เป็นแพลตฟอร์มที่อยู่ในต่างประเทศ เท่ากับว่ากรณีนี้อาจเป็นสัญญาทางการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งในทางปฏิบัติการจัดทำสัญญาในลักษณะนี้จะมีการระบุกฎหมายที่การเลือกใช้ และศาลที่จะใช้พิจารณาคดีไว้

ประเด็นที่สาม หากเป็นกรณีที่ศาลในประเทศใดประเทศหนึ่งรับฟ้อง ปัญหาที่จะตามมาสำหรับการใช้ Blockchain และ Smart Contract คือ ความชัดเจนของการตีความในเรื่องการเกิดของสัญญา ซึ่งรวมไปถึงสถานที่เกิดของสัญญาด้วย ในประเด็นเหล่านี้ผู้เขียนเชื่อว่าในหลายประเทศรวมถึงไทย ยังคงเป็นประเด็นที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับการตีความของศาล

ท้ายที่สุด ผู้เขียนมองว่านี่คือการให้บริการทางการเงินที่ตั้งใจให้ปราศจากการกำกับและอยู่นอกกรอบกฎหมายเดิม ดังนั้น ความรู้ทางการเงิน ความเข้าใจสิทธิของตนบนแฟลตฟอร์ม และความสามารถในการวางแผนทางการเงินเพื่อสร้างวินัยทางการเงินที่ดีคือคีย์ในการลงทุนแบบ Defi…Know your risk appetite!

(บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน)