โควิดทุบ ‘สปาไทย’ 3 หมื่นล้าน! ทุนจีนไล่ซื้อกิจการ-วอนรัฐเร่งปั๊มหัวใจ

โควิดทุบ ‘สปาไทย’ 3 หมื่นล้าน! ทุนจีนไล่ซื้อกิจการ-วอนรัฐเร่งปั๊มหัวใจ

วิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาพรวมธุรกิจร้านนวดสปาซึ่งมีกว่า 8,000 แห่งที่ได้รับใบอนุญาตตาม พรบ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 มีจำนวนบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสปาและได้รับใบประกอบวิชาชีพรวมกว่า 3 แสนคน

กรด โรจนเสถียร นายกสมาคมสปาไทย ฉายภาพถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า มีจำนวนร้านนวดสปาเปิดให้บริการเพียง 20% ของทั้งหมด และแรงงานที่เกี่ยวข้องกว่า 80% อยู่ในสภาวะตกงาน!

แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดหลายจังหวัดได้มีคำสั่งคลายล็อคให้ร้านนวดสปากลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง หลังต้องปิดกิจการชั่วคราวเพื่อสกัดการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่ด้วยฐานลูกค้าของร้านนวดสปาส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ การดึงนักท่องเที่ยวไทยมาใช้บริการจึงไม่เพียงพอ

สมาคมฯจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือธุรกิจร้านนวดสปาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาคท่องเที่ยว ด้วยการร่วมจ่ายหรือ “โค-เพย์เมนต์” เงินเดือนพนักงาน 50% ของเพดานสูงสุด 15,000 บาท แก่พนักงานในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวรวมสปา จำนวน 8 แสนคน นาน 6-12 เดือน เหมือนกับที่สมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) ได้ยื่นเรื่องเสนอให้รัฐพิจารณาก่อนหน้านี้

“ลมหายใจของผู้ประกอบการสปาตอนนี้รวยริน อ่อนแรงมาก แต่รัฐกลับไม่เข้ามาช่วยปั๊มหัวใจให้เราเลย ถ้าครั้งนี้รัฐไม่ช่วยจ่ายเงินเดือนพนักงาน ธุรกิจสปาอาจสูญหายไปจากประเทศไทย และทำให้มีภาพลักษณ์แย่ๆ ติดตัวรัฐบาลตลอดไป เพราะมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวและการจับจ่ายอย่างโครงการเราเที่ยวด้วยกัน กับ คนละครึ่ง ธุรกิจสปาไม่เคยได้รับอานิสงส์เลย ทั้งที่อยู่ในระบบท่องเที่ยว มี พรบ.คุ้มครอง และเป็นเหตุผลหลักของการมาเที่ยวไทยของชาวต่างชาติซึ่งนิยมทำสปาติด 1 ใน 5 อันดับแรกของกิจกรรมท่องเที่ยวและบริการ แต่รัฐกลับไม่เหลียวแล”

อีกปัญหาที่ต้องการให้รัฐเร่งพิจารณาคลายล็อคคือ แม้ร้านนวดสปาจะสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้งตามคำสั่งรัฐ แต่ยังติดขัดในส่วนของ “บริการออนเซ็น” ซึ่งเป็นธุรกิจดาวรุ่งด้านสปา อยู่ภายใต้ พรบ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพเช่นกัน โดยทางรัฐอาจจะมองว่าออนเซ็นต้องใช้อ่างในการให้บริการ ซึ่งคล้ายคลึงกับสถานประกอบการอาบอบนวดที่มีอ่างเหมือนกัน แต่ยังไม่มีคำสั่งให้กลับมาเปิดบริการ โดยจำนวนผู้ประกอบการออนเซ็นเทียมในกรุงเทพฯและชลบุรี แม้จะมีไม่ถึง 10 ราย แต่ผู้ประกอบการเหล่านี้มีมาตรการดูแลด้านสุขอนามัยชัดเจน ได้มาตรฐาน จึงอยากให้รัฐทบทวนคลายล็อค

“สปาถือเป็นธุรกิจที่สำคัญมากต่อภาคท่องเที่ยว โดยสมาคมฯประมาณการณ์ว่าธุรกิจสปาในประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อปี ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณการณ์ว่าอุตสาหกรรมธุรกิจบริการสุขภาพมีมูลค่าสูงถึง 4 แสนล้านบาทต่อปี โดยมีแรงงานรวมกว่า 3.5 แสนคน และปัจจุบันตกงานกว่า 80% หลังโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจนี้”

นายกสมาคมสปาไทย เล่าเพิ่มเติมว่า ได้รับทราบว่าขณะนี้มี “กลุ่มทุนจากต่างประเทศ” หลายรายเข้ามาหาช่องทาง “ซื้อกิจการในประเทศไทย” จำนวนมาก หลังจากธุรกิจหลายประเภทได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา

โดยในส่วนของ “ธุรกิจสปา” ก็มี “กลุ่มทุนจีน” หลายรายที่แสวงหาช่องทางเข้ามาซื้อกิจการของไทยที่ประสบปัญหาด้านรายได้หรือมีสายป่านทางธุรกิจที่ไม่ยาวพอ และอาจขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ ในภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่ตอนนี้กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพักเหมือนในอดีต

“จริงๆ เห็นสัญญาณนี้มาก่อนแล้ว ทางกลุ่มทุนจีนสนใจธุรกิจสปามาตลอดว่าอยากทำธุรกิจนี้เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ อย่างตอนนี้มีกลุ่มธุรกิจต่างชาติจะเข้ามาลงทุนเก็บเกี่ยวธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยก็กำลังเกิดขึ้นมาก โดยกลุ่มนี้จะเข้ามาสอยโรงแรมของไทยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งถ้าซื้อกิจการก็มีราคาถูกกว่าปกติ ผลที่จะเกิดขึ้นคือทำให้ธุรกิจโรงแรมหรือธุรกิจท่องเที่ยวอื่นๆ ของประเทศไทยหรือของคนไทยเปลี่ยนมือไปเป็นของต่างชาติหมด เรื่องนี้ถือว่าน่ากลัวมากที่สุด”