'ไทยสร้างไทย'ในใจ'สุดารัตน์' ปักหมุดจุดยืน'สลายรัฐราชการ'

'ไทยสร้างไทย'ในใจ'สุดารัตน์'  ปักหมุดจุดยืน'สลายรัฐราชการ'

"ปักหมุด" ด้วย2จุดยืนทางความคิด "ไม่แตะสถาบัน-เสริมพลังและสร้างโอกาสให้คนตัวเล็กในสังคม" หวังเป็นมาสเตอร์พีซส่งต่อคนรุ่นใหม่

เข้าสู่โหมดเปิดตัวอย่างชัดเจนแล้ว สำหรับพรรคการเมืองน้องใหม่ ที่นำโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่หันหลังให้กับพรรคเก่า พร้อมจับมือกับพันธมิตรและผู้ร่วมอุดมการณ์ทางการเมืองนำเสนอนโยบายแก้ไขปัญหาประเทศ เพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งต่อไป

ข่าวคราวเกี่ยวกับพรรคใหม่ของคุณหญิงหน่อย สุดารัตน์ ถูกพูดถึงมาระยะหนึ่งแล้ว และความชัดเจนในวันนี้คือ "ไม่ใช่สาขาของเพื่อไทย" แต่หวังเป็นรัฐบาลด้วย

ส่วนสิ่งที่ยังไม่ชัดเจนในขณะนี้ เหลือเพียง “ชื่อพรรค” เท่านั้น เพราะหลังจากให้คนไปจดทะเบียนตั้งพรรคแบบด่วนๆ ที่ชื่อว่า “ไทยสร้างไทย” เอาไว้ แต่หลังจากนั้นก็มีคนไปจองชื่อพรรค “สร้างไทย” ไว้กับ กกต. จึงต้องลุ้นว่า สุดท้าย กกต.จะตีความว่าซ้ำกันหรือไม่ ทำให้คุณหญิงสุดารัตน์อาจตัดสินใจใช้ชื่อใหม่ โดยจะมีการรระดมความเห็นกันหลังจากนี้

ก่อนหน้านี้ไม่นาน คุณหญิงสุดารัตน์พร้อมคณะผู้ก่อตั้งพรรคใหม่ ก็เดินสายไปพบปะบุคคลสำคัญสาขาต่างๆ เช่น ผู้แทนสถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ล่าสุดได้ยกคณะเดินทางมาเยือนเครือเนชั่่น และได้เปิดเผยเกี่ยวกับพรรคใหม่ และนโยบายการแก้ไขปัญหาประเทศ

หลักคิดในการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ และมุมมองสถานการณ์การเมืองขณะนี้ เนื่องจากคุณหญิงสุดารัตน์ เห็นว่า “ไปต่อไม่ได้แล้ว” เพราะฝ่ายเทิดทูนสถาบันก็มองว่าฝ่ายประชาธิปไตยอันตราย ไว้ใจไม่ได้ ขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตยก็มองฝ่ายเทิดทูนสถาบันอย่างแบ่งแยก สังคมแบบนี้เดินไม่ได้ ทั้งๆ ที่ เรื่องสถาบันกับการเมืองเป็นคนละเรื่อง คนละเลเยอร์กันเลย ไม่ควรนำมารวมกันจนทำให้เกิดความขัดแย้ง

ฉะนั้น จุดยืนที่ 1 ของพรรคนี้ก็คือ “ไม่แตะสถาบัน และไม่ดึงสถาบันมาอยู่ในวังวนความขัดแย้ง”

ส่วนจุดยืนที่ 2 คือ การเสริมพลังและสร้างโอกาสให้กับ “คนตัวเล็ก” ในสังคม นั่นก็คือกลุ่มคนทำมาหากินทุกอาชีพ รวมทั้งเอสเอ็มอี ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาติดกับดักเรื่องกฎหมายและระบบราชการ จนทำให้ยืนบนขาตัวเองไม่ได้ และพัฒนาต่อยอดได้ยากมาก 

สาเหตุหลักมาจาก “ระบบราชการ” ซึ่งใหญ่โตอยู่แล้ว แต่ถูกทำให้ใหญ่ขึ้นไปอีก ตั้งแต่หลังการรัฐประหาร และสืบทอดอำนาจ มีฝ่ายบริหารมาจากภาคราชการ 100% กลายเป็น “รัฐราชการ” ที่ใหญ่โตขึ้นตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประชาชนตัวเล็กลีบลง ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น คนทำมาหากินถูกเอาเปรียบ ประเทศอยู่ไม่ได้

นี่คือเหตุผลที่คุณหญิงสุดารัตน์อธิบายว่า ทำไมต้องการทำพรรคการเมืองใหม่ โดยมีความตั้งใจถึงขนาดว่า “จะทำให้เป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซชิ้นสุดท้าย” เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นถัดไปได้ดูแลประเทศต่อ

นโยบายหลัก 3 ข้อของพรรคใหม่ คือ 1. สนับสนุนประชาธิปไตย ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อให้โอกาสคนไทยทุกคนได้มีส่วนในการออกแบบกติกาประเทศ 2. ให้โอกาสคนทำมาหากิน เป็นตัวแทนคนตัวเล็กในสังคม และ 3. ลดความเหลื่อมล้ำ 

จากนั้น อาจารย์โภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา และอดีต รมว.มหาดไทย ได้ขยายความเพิ่มเติมถึงการแปรนโยบายเหล่านี้ไปสู่การปฏิบัติจริง โดยบอกว่าหากได้เป็นรัฐบาล จะดำเนินการปลดล็อก “รัฐราชการ” ทันที ด้วยการออกพระราชกำหนดลดขั้นตอนการขออนุญาต ขออนุมัติต่างๆ กับทางราชการ เพื่อให้โอกาส “คนทำมาหากิน” สามารถทำมาหากินได้สะดวกขึ้น โดยจะควบคุมเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่แค่จะเปิดร้านกาแฟร้านเดียว ยังต้องขออนุญาตนานหลายเดือน หรือเป็นปี แบบนี้ทำให้เสียโอกาส

นอกจากนั้นก็จะตั้ง “สภาเอสเอ็มอี” เพื่อเสริมพลังคนตัวเล็ก เหมือนกับกลุ่มทุนใหญ่ที่มีสภาอุตสาหกรรมฯ หรือสมาคมธนาคารไทย ที่พูดอะไรรัฐบาลก็ฟัง ขณะเดียวกันก็ต้องตั้งกองทุนเอสเอ็มอี กองทุนสตาร์ทอัพ และกองทุนวิสาหกิจชุมชน เพื่อช่วยเหลือคนตัวเล็กให้เข้าถึงแหล่งทุน และสร้างโอกาสในการยืนบนขาตัวเอง

วงพูดคุยเรื่องพรรคใหม่ของคุณหญิงสุดารัตน์ ยังมีการเสนอไอเดียอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมาก เช่น การลดระยะเวลาการเรียนในห้องเรียนลง หันมาเรียนออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากแหล่งความรู้ย้ายจากห้องสมุดโรงเรียนมาอยู่ในอินเทอร์เน็ตแล้ว และยังมีแนวคิดลดเวลาเรียนชั้นประถมกับมัธยมลง จาก 12 ปี อาจเหลือแค่ 9 ปี และระดับปริญญาตรี จาก 4 ปี เหลือ 3 ปี เพื่อให้คนอายุ 18 ปี สามารถจบปริญญา และสร้างโอกาสทางธุรกิจของตนเองได้อย่างรวดเร็ว เหล่านี้ เป็นต้น

คุณหญิงสุดารัตน์ ยังกล่าวถึงการเตรียมพร้อมสู่สนามเลือกตั้ง โดยจะประเดิมที่การเลือกตั้งท้องถิ่น ว่า ในส่วนของผู้ว่าฯ กทม.ต้องขอพิจารณาอีกครั้ง เพราะเวลาเหลือไม่มาก และเร็วมากสำหรับกลุ่มสร้างไทยที่จะเฟ้นตัวเพื่อส่งผู้สมัคร แต่ยอมรับว่าแคนดิเดตผู้สมัครทุกคนมาหา มาพูดคุย มาขอให้สนับสนุน

ส่วนการเลือกตั้งใหญ่ ไม่ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จหรือไม่นั้น คุณหญิงสุดารัตน์บอกว่า ในภาคอีสานมีคะแนนนิยมดี สังเกตจากตัวเองที่ลงไปช่วยหาเสียงนายก อบจ.ในหลายจังหวัด และกลุ่มสร้างไทยมีผู้หลักผู้ใหญ่ทางการเมืองเป็นอดีต ส.ส.อีสาน จึงถือว่ามีฐานอยู่ สำหรับ กทม.ก็มีพื้นที่ฐานเสียงอยู่แล้ว หลายคนรอเวลามาร่วมงานกัน

ที่น่าสนใจ คือภาคใต้ถือว่ามีหวัง สำหรับตนขอใช้คำว่า “กำแพงที่เคยมีได้พังลงแล้ว” ตั้งแต่ออกจากพรรคเพื่อไทย 

ถือได้ว่าแนวทางการก่อร่างสร้างพรรคใหม่ของคุณหญิงสุดารัตน์ และผู้ร่วมอุดมการณ์ เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และเตรียมนับถอยหลังเปิดตัวในอีกไม่นานนี้