หนังเล่าโลก Leap Year‘เดินทางเพื่อรักแท้’

การระบาดของโควิด-19 ที่ไม่มีวี่แววว่าจะจบในปีนี้ การท่องเที่ยวต่างประเทศยังคงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นการชมภาพยนตร์ที่มีฉากการเดินทางไปยังสถานที่ธรรมชาติงดงามน่าจะเป็นทางออกในช่วงที่เดินทางไม่ได้ Leap Year เป็นทางเลือกที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง
Leap Year ภาพยนตร์เมื่อปี 2553 ผลงานกำกับของ Anand Tucker หมายถึงปีอธิกสุรทิน หรือปีที่เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน จึงเป็นวันที่มีความหมายพิเศษแล้วแต่ใครจะให้คุณค่า เช่นในประเทศไอร์แลนด์ผู้หญิงสามารถขอผู้ชายแต่งงานได้ในวันนี้ ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แต่ธรรมเนียมไอร์แลนด์ก็มาส่งผลกับ “แอนนา” นักตกแต่งภายในสาวชาวอเมริกัน ที่คบกับ “เจเรมี” แฟนหนุ่มศัลยแพทย์มานานถึง 4 ปี แต่เขาก็ไม่เคยขอแต่งงานสักที ในปีอธิกสุรทินนี้เจเรมีมีกำหนดไปประชุมที่กรุงดับลินของไอร์แลนด์ เท่ากับว่าแอนนามีสิทธิขอเขาแต่งงานได้อย่างไม่ต้องอายฟ้าดิน เพียงแต่เธอต้องเดินทางจากสหรัฐไปไอร์แลนด์
ความโกลาหลเกิดขึ้นเมื่อแอนนาเริ่มเดินทาง เครื่องบินแทนที่จะบินตรงไปยังดับลินกลับเจอสภาพอากาศปั่นป่วนต้องลงจอดฉุกเฉินที่เมืองคาร์ดิฟของเวลส์ จากนั้นแอนนาต้องต่อเรือเฟอร์รี นั่งรถยนต์ รอรถไฟ ขึ้นรถบัส เพื่อไปพบกับเจเรมีที่เมืองหลวงของไอร์แลนด์ บรรยากาศการเดินทางผสมกับวิวชนบทของไอร์แลนด์ ฉากการรับประทานอาหารในผับชนบท เข้าพักโรงแรมเล็กๆ รวมถึงความใกล้ชิดของผู้คนแบบไม่ต้องสวมหน้ากากและเว้นระยะ ยิ่งชวนให้คิดถึงโลกยุคก่อนโควิด จนอดคิดไม่ได้ว่าการไปเที่ยวต่างประเทศหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ซึ่งผู้เกี่ยวข้องต่างแสดงทัศนะแตกต่างกัน
ชาโรนา ฮอฟฟ์แมน ผู้อำนวยการร่วมศูนย์กฎหมายการแพทย์ วิทยาลัยกฎหมายเคสเวสเทิร์นรีเสิร์ฟ ยูนิเวอร์ซิตี้ เผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า แม้ขณะนี้ยังไม่มีประเทศใดบังคับให้ฉีดวัคซีนก่อนเข้าประเทศแต่เป็นไปได้สูงมากถ้ามีวัคซีนพร้อมฉีดให้ทุกคน เธอคิดว่าประเทศหนึ่งที่จะออกกฎนี้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติคือนิวซีแลนด์ เนื่องจากระเบียบการเดินทางของนิวซีแลนด์เข้มงวดและอัตราการติดเชื้อต่ำ
ด้านสภาการค้าและการท่องเที่ยวโลก (ดับเบิลยูทีทีซี) ที่ต้องการให้การเดินทางทำได้โดยเร็วที่สุด กลอเรีย เกวารา ซีอีโอ ประกาศชัดว่า การบังคับฉีดวัคซีนเป็นการเลือกปฏิบัติต่อนักเดินทาง
“การกำหนดให้ฉีดวัคซีนเป็นการเลือกปฏิบัติต่อนักเดินทางที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง เช่น คนเจนเอ็กซ์ เจนแซด หรือคนรุ่นมิลเลนเนียล ที่สามารถเดินทางได้แค่ตรวจโควิดได้ผลเป็นลบก็พอแล้ว”
สมาคมการขนส่งระหว่างประเทศ (ไอเอทีเอ) ก็อยากกลับไปบินแล้วเหมือนกัน โดยผลักดันเรื่องการตรวจโควิดมากกว่าบังคับฉีดวัคซีน เพราะประเมินแล้วว่า กว่าจะฉีดวัคซีนได้ทั่วทั้งโลกก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี จะรอให้ฉีดวัคซีนครบแล้วค่อยเปิดประเทศดูจะช้าเกินไป
ตอนนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักกันอยู่ แต่ก็คาดว่าในปีนี้เมื่อฉีดวัคซีนให้ประชากรได้มากพอสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ การเดินทางข้ามประเทศคงทำได้อีกครั้ง กระนั้นความกังวลยังไม่หมดเสียทีเดียว
เนชันแนลจีโอกราฟฟิกและบริษัทมอร์นิงคอนซัลท์ สำรวจความคิดเห็นประชาชนถึงความต้องการท่องเที่ยวหลังโควิด-19 สิ้นสุดรัฐยกเลิกมาตรการควบคุม ผู้ให้ข้อมูล 53% ตอบว่า "จะเดินทางมากขึ้นเพื่อไปพบกับบุคคลที่รักที่ไม่ได้เจอกันช่วงโควิด” 49% ตอบว่า “จะเดินทางน้อยลงเพราะกลัวว่าจะไปเจอกับคนอื่น” 34% บอกว่า "จะเดินทางมากขึ้นชดเชยกับที่ไม่ได้เดินทางช่วงโควิด”
เรียกได้ว่าความรู้สึกอยากเดินทางยังคุโชนอยู่ในใจของผู้คน ทั้งคนที่ต้องพลัดพรากจากบุคคลที่รักในช่วงเกิดโรคระบาด หรือแม้คนที่ได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัวเพื่อนฝูงแต่ไปไหนมาไหนไม่ได้เหมือนเดิมตามใจปรารถนา ตอนนี้ทุกคนกำลังใจจดใจจ่อรอให้สถานการณ์คลี่คลายด้วยเชื่อว่า การได้ออกเดินทางอีกครั้งอาจทำให้บางคนได้พบกับรักแท้ เหมือนที่แอนนาดั้นด้นจากบอสตันไปถึงไอร์แลนด์แล้วเธอก็ได้พบกับความรักที่ควรค่ากับการเดินทางแสนสาหัสครั้งนี้จริงๆ




