เปิด 3 ปัจจัย ‘ลิเวอร์พูล’ เครื่องช็อต! สะเทือนเป้าป้องกันแชมป์ลีก

เปิด 3 ปัจจัย ‘ลิเวอร์พูล’ เครื่องช็อต! สะเทือนเป้าป้องกันแชมป์ลีก

เปิดบทวิเคราะห์ หลัง “ลิเวอร์พูล” แชมป์เก่าพรีเมียร์ลีกซึ่งอยู่ในช่วงฟอร์มออกทะเล พลาดท่าแพ้คาบ้านให้กับทีมท้ายตาราง “เบิร์นลีย์” และเป็นการพ่ายคาถิ่นแอนฟิลด์นัดแรกในรอบ 68 เกม เกิดอะไรขึ้นกับทีมที่เคยฟอร์มแรงเมื่อฤดูกาลที่แล้ว?!

หลังจากได้แชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปีเมื่อฤดูกาลที่แล้ว มาซีซั่นนี้ “ลิเวอร์พูล” ก็ประสบช่วงเวลายากลำบากในการป้องกันแชมป์ เนื่องจากทัพนักเตะของ “เจอร์เกน คลอปป์” กุนซือชาวเยอรมัน ไม่ชนะใครในลีก 5 เกมติดต่อกันเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2017

นอกจากนี้ สถิติสุดหรูของทัพหงส์แดงที่ไม่แพ้ใครในบ้าน 68 เกมติดต่อกันกลับต้องหยุดลง หลังถูกเบิร์นลีย์พลิกล็อกบุกคว้าชัย 0-1 เมื่อคืนวันพฤหัสบดี (21 ม.ค.) และกลายเป็นทีมแรกที่คว้า 3 แต้มจากถิ่นแอนฟิลด์ได้ในรอบเกือบ 4 ปี

ขณะเดียวกัน คลอปป์ กุนซือลิเวอร์พูลก็เริ่มรับสภาพว่า ตอนนี้ทีมอาจต้องโฟกัสที่เป้าหมายติดกลุ่มท็อปโฟร์ หรือ 4 อันดับแรกของตาราง เพื่อตีตั๋วไปเล่นรายการ “ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก” (UCL) ในซีซั่นหน้า แทนการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีก

161130740569
- คลอปป์ กุนซือหงส์แดงออกอาการเซ็งในเกมที่แพ้เบิร์นลีย์ -

มาถึงจุดนี้ แฟนบอลหลายคนอาจเริ่มสงสัยว่า ทำไมทีมที่เคยสร้างสถิติเก็บแต้มในลีกสูงสุดในแต่ละฤดูกาลช่วง 2 ซีซั่นหลังสุด ถึงประสบปัญหาฟอร์มตกอย่างรวดเร็ว ไปดูกันว่ามีตัวแปรสำคัญอะไรบ้าง

 

  • แข้งตัวหลักเดี้ยง

การสูญเสีย “เวอร์จิล ฟาน ไดค์” ปราการหลังคนสำคัญจากอาการบาดเจ็บหัวเข่าเมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา จนต้องพักยาวทั้งฤดูกาล น่าจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของลิเวอร์พูลและบั่นทอนโอกาสป้องกันแชมป์ในซีซั่นนี้

นอกจากกองหลังชาวดัตช์แล้ว หงส์แดงยังต้องมาเสียเซ็นเตอร์แบ็คตัวหลักที่เจ็บยาวอีก 2 คนคือ “โจ โกเมซ” และ “โจเอล มาติป” ทำให้คลอปป์ไม่เหลือเซ็นเตอร์ชุดใหญ่ให้ใช้งาน จึงจำเป็นต้องขยับ “ฟาบินโญ” มิดฟิลด์ตัวรับชาวบราซิลและ “จอร์แดน เฮนเดอร์สัน” กองกลางกัปตันทีมลงมายืนคุมแดนหลังแทนในเกมช่วง 2-3 สัปดาห์หลังสุด

สถิติเกมรับของลิเวอร์พูลนับตั้งแต่ขาดฟาน ไดค์ ยังถือว่าน่าประทับใจ โดยเสียไปเพียง 9 ประตูจาก 14 เกม แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือ บาลานซ์หรือสมดุลของทีม

การขาดคู่เซ็นเตอร์ที่อ่านเกมไวอย่างฟาน ไดค์และโกเมซในแดนหลัง และชั้นเชิงการแย่งบอลของเฮนเดอร์สันและฟาบินโญในแดนกลาง ทำให้เกมเพรสซิ่งที่เคยเป็นจุดแข็งของลิเวอร์พูล ลดพิษสงลงอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ ลิเวอร์พูลยังเจอวิบากกรรมเพิ่มจากอาการบาดเจ็บของกองหน้าตัวใหม่อย่าง “ดิโอโก โชตา” แข้งชาวโปรตุเกสในเดือนที่แล้ว ซึ่งก่อนบาดเจ็บหัวเข่า โชตากำลังฟอร์มดีโดยยิงให้ลิเวอร์พูลได้ 7 เกมจาก 9 เกมที่ลงสนาม

 

  • พึ่งหน้า 3 ตัวเดิมมากไป

การหายไปของโชตา ทำให้คลอปป์เหลือตัวเลือกที่พึ่งพาได้ในเกมรุกน้อยลง นอกเหนือจาก 3 ตัวหลักหน้าเดิมอย่าง “โมฮัมเหม็ด ซาลาห์” แข้งชาวอียิปต์ “ซาดิโอ มาเน” กองหน้าเซเนกัล และ “โรแบร์โต ฟีร์มิโน” กองหน้าบราซิล ส่วนตัวเลือกอย่าง “ทาคุมิ มินามิโนะ” ตัวรุกทีมชาติญี่ปุ่นยังคงสอดแทรกตัวจริงได้ยาก

161130754023
- มาเน (ซ้าย) ซาลาห์ (กลาง) และฟีร์มิโน (ขวา) 3 ประสานตัวหลักในแดนหน้าของลิเวอร์พูล -

หากไม่มีปัญหาบาดเจ็บ คลอปป์มักเลือก 3 ตัวรุกอย่างซาลาห์ มาเน และฟีร์มิโน ลงล่าตาข่ายคู่แข่งพร้อมกัน หลังจากพวกเขามีส่วนสำคัญให้ทีมชูถ้วยแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปี และคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ได้สำเร็จ

ในช่วง 4 ฤดูกาลหลังสุด ทั้ง 3 คนนี้ประสานเกมรุกกันอย่างเข้าขา โดยช่วยกันยิงให้ลิเวอร์พูลได้รวมกันถึง 248 ประตู

อย่างไรก็ตาม เมื่อ 3 กองหน้าขาประจำฟอร์มตกและโชตาบาดเจ็บ ทำให้เกมรุกขาดความเฉียบคมและกระทบฟอร์มโดยรวมของทีม หากไม่นับซาลาห์ มาเน ฟีร์มิโน และโชตา นักเตะลิเวอร์พูลคนอื่น ๆ ยิงรวมกันได้เพียง 6 ประตูจาก 19 เกม และไม่มีใครยิงได้เกิน 1 ประตูเลย

จะเห็นได้ว่านี่เป็นมากกว่า “ปัญหาชั่วคราว” ของทัพหงส์แดง เพราะทั้ง 3 กองหน้าตัวหลักอาจผ่านพ้นช่วงพีคของการค้าแข้งไปแล้ว

161130773526
- ซาลาห์โชว์ฟอร์มไม่ออก หลังลงมาเป็นตัวสำรองในเกมกับเบิร์นลีย์ -

ขณะที่ในเกมล่าสุดที่แพ้เบิร์นลีย์คารังแอนฟิลด์ คลอปป์ตัดสินใจดร็อปซาลาห์และฟีร์มิโนไว้ข้างสนาม และส่ง “ดิว็อค โอริกี” และ “อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน” ลงตัวจริงแทน

อย่างไรก็ตาม ทั้งโอริกีและออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน แทบไม่มีบทบาทเด่นและถูกเปลี่ยนตัวออกช่วงต้นครึ่งหลัง หลังจากโอริกีทำโอกาสยิงประตูจะแจ้งที่สุดในเกมนี้หลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย

 

  • หมดแรงกระตุ้น

ทัพนักเตะของคลอปป์ถูก “แมนเชสเตอร์ ซิตี” ปาดหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2018/19 โดยเฉือนกันเพียง 1 คะแนน (แมนฯซิตี 98 คะแนน ลิเวอร์พูล 97 คะแนน) ก่อนที่หงส์แดงจะแก้มือได้สำเร็จจากการคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล 2019/20 ด้วยคะแนนสูงสุดทุบสถิติถึง 99 คะแนนทิ้งห่างอันดับ 2 เรือใบสีฟ้า 18 คะแนน

นอกจากนั้น หลังจากทะลุเข้าชิงชนะเลิศ UCL 2 ครั้งใน 3 ฤดูกาลหลังสุด และเจอกับฤดูกาลที่ขาดบรรยากาศแฟนบอลเต็มสนามเหมือนเคย ก็ถือเป็นเรื่องพอเข้าใจได้ หากความกระหายชัยชนะของลิเวอร์พูลจะหดหายไปในซีซั่นนี้

ช่วงที่ยังมีเสียงเชียร์จาก “เดอะค็อป” เป็นแรงกระตุ้นในสนาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า ขุนพลเครื่องจักรสีแดงมักเล่นกันได้น่าเกรงขามและดุดันอยู่เสมอ

161130848743
- บรรยากาศแอนฟิลด์ที่ไร้กองเชียร์ลิเวอร์พูล -

ขณะที่ช่วงต้นฤดูกาลนี้ที่ลิเวอร์พูลยังโชว์ฟอร์มดีต่อเนื่อง กุนซือชาวเยอรมันโอดครวญเกี่ยวกับโปรแกรมพรีเมียร์ลีกที่ฝั่งลูกทีมของเขาต้องลงเล่นถี่เกินไป เนื่องจากเปิดฤดูกาลช้ากว่าปกติ ผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์สกัดโควิด-19 ในอังกฤษตั้งแต่ปลายฤดูกาลที่แล้ว

ด้วยจำนวนนักเตะพร้อมใช้งานที่เหลือน้อยลง เวลาพักแข่งเพียงไม่กี่วัน และไร้เสียงเชียร์กระหึ่มจากแฟนบอล ทำให้ทัพหงส์แดงอาจต้องเผื่อใจสำหรับเป้าหมายรองลงมาจากการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีก

เรื่องน่ากังวลสำหรับคลอปป์ตอนนี้คือ ไม่มีอะไรรับประกันว่าลิเวอร์พูลจะผ่านพ้นช่วงฟอร์มตกเมื่อไร และหลังจากเกมบุกเยือนถิ่น “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ในศึกเอฟเอคัพวันอาทิตย์นี้ (24 ม.ค.) ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร พลพรรคหงส์แดงต้องกลับมารับมือศึกหนักในลีก ด้วยการลงเตะกับทีมหัวตาราง 5 ทีมจาก 7 อันดับแรกใน 6 เกมหลังจากนี้

161132477237