กูรูเตือนแมงเม่าระวังฟองสบู่'บิตคอยน์'ใกล้แตก

กูรูเตือนแมงเม่าระวังฟองสบู่'บิตคอยน์'ใกล้แตก

ผู้เชี่ยวชาญพากันเตือนว่า การทะยานขึ้นของบิตคอยน์จะสะดุดลง หลังจากพุ่งขึ้นอย่างมากในขณะนี้

นายนูเรล รูบินี หรือ ดร.ดูม ผู้ที่เคยทายวิกฤติซับไพร์มได้อย่างถูกต้องเมื่อทศวรรษที่แล้ว และนายปีเตอร์ ชิฟฟ์ นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐ มองว่า บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์เก็งกำไรที่ไม่มีคุณค่าในตัวเอง และฟองสบู่บิตคอยน์จะระเบิดออกในที่สุด

ส่วนนายแมทท์ มาลีย์ หัวหน้านักวิเคราะห์ของบริษัทมิลเลอร์ ทาบัค กล่าวว่า บิตคอยน์อาจดิ่งลง 25-30% ในช่วงต้นปีนี้

“บิตคอยน์จะดีดตัวต่อไปในระยะสั้น และผมก็มั่นใจในระยะยาว แต่ในระยะกลาง ผมมีความวิตกมากกว่าคนอื่น” เขากล่าว

นายมาลีย์กล่าวว่า ปัจจัยทางเทคนิคบ่งชี้ว่า บิตคอยน์ได้เข้าสู่ภาวะที่มีแรงซื้อมากเกินไป และเริ่มมีภาวะฟองสบู่ ส่งผลให้บิตคอยน์จะเผชิญกับการปรับฐาน

นายมาลีย์กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2559 บิตคอยน์ได้ดิ่งลง 20% ถึง 10 ครั้ง, ร่วงลง 30% จำนวน 7 ครั้ง และ 48% จำนวน 4 ครั้ง ซึ่งนักลงทุนไม่ควรประเมินต่ำเกินไปเกี่ยวกับการปรับตัวที่ผันผวนของบิตคอยน์

ทั้งนี้ บิตคอยน์พุ่งทะลุระดับ 41,000 ดอลลาร์ หรือสูงกว่า 1,230,000 บาทในวันนี้ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เมื่อเวลา 22.05 น.ตามเวลาไทยของวันศุกร์(8ม.ค.) บิตคอยน์พุ่งขึ้น 2,372.25 ดอลลาร์ หรือ 6.0% สู่ระดับ 41,893.50 ดอลลาร์ ในการซื้อขายบนแพลตฟอร์มของคอยน์เบส

บิตคอยน์พุ่งขึ้นมากกว่า 40% จากต้นปีนี้ หลังจากที่ทะยานขึ้นมากกว่า 300% ในปีที่แล้ว และมีแนวโน้มทำสถิติพุ่งขึ้นในสัปดาห์นี้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่เดือนธ.ค.2560.

มูลค่าตลาดสกุลเงินคริปโตทะยานขึ้นเหนือระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่บิตคอยน์มีมูลค่าตลาดมากกว่า 7 แสนล้านดอลลาร์

นักวิเคราะห์จากบริษัทโซเชียล แคปิตัลคาดการณ์ว่า บิตคอยน์ยังคงสามารถพุ่งขึ้นต่อไป แม้ว่าช่วงนี้ได้ดีดตัวขึ้นมากแล้ว

“บิตคอยน์อาจไปถึง 100,000 ดอลลาร์ และ 150,000 ดอลลาร์ และ 200,000 ดอลลาร์ ซึ่งจะใช้เวลานานเท่าใด ผมก็ไม่รู้ อาจจะ 5-10 ปี แต่มันจะไปถึงแน่” เขากล่าว

นายนิโคลัส ปานิเกอร์โซโกล นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนคาดการณ์ว่า ในระยะยาวบิตคอยน์มีแนวโน้มทะยานขึ้นแตะระดับ 146,000 ดอลลาร์ โดยปัจจัยที่ทำให้บิตคอยน์มีแนวโน้มแข็งแกร่งมาจากการที่นักลงทุนเริ่มกระจายการลงทุนด้วยการเข้าซื้อบิตคอยน์ นอกเหนือไปจากการซื้อทองคำในช่วงที่ผ่านมา

การดีดตัวของบิตคอยน์ในครั้งนี้แตกต่างจากในปี 2560 เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากกระแสตอบรับที่คึกคักจากกลุ่มบริษัทฟินเทค และนักลงทุนรายใหญ่ในตลาด เช่น พอล ทิวดอร์ โจนส์ และสแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์ โดยแตกต่างจากในปี 2560 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อย

เพย์พาล ยักษ์ใหญ่ฟินเทค ประกาศว่า ทางบริษัทจะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆเพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถทำการซื้อขายบิตคอยน์ และสกุลเงินคริปโตอื่นๆ และในปีนี้เพย์พาลมีแผนที่จะให้ลูกค้าใช้สกุลเงินคริปโตในการซื้อสินค้าจากเครือข่ายร้านค้าปลีกจำนวน 26 ล้านแห่งของทางบริษัท

ด้านสแควร์ ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ทางบริษัทได้เข้าซื้อบิตคอยน์มูลค่าถึง 50 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ สแควร์ยังได้เปิดให้บริการสกุลเงินคริปโตสำหรับลูกค้าที่ใช้แอพพลิเคชั่นแคชของทางบริษัท

บิตคอยน์ยังได้แรงหนุนจากการที่รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกพากันออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้ทำให้สกุลเงินของหลายประเทศอ่อนค่าลง โดยเฉพาะดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือครองบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ทางเลือก

นอกจากนี้ ยังมีการมองว่าบิตคอยน์มีสถานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เช่นเดียวกับทองคำ ซึ่งนักลงทุนจะแห่เข้าซื้อในช่วงเวลาที่เกิดความตื่นตระหนก

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังใช้บิตคอยน์เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อจากการที่รัฐบาลต่างๆมีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายริค ไรเดอร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ของแบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวว่า ในอนาคต บิตคอยน์จะสามารถขึ้นมาทดแทนตำแหน่งของทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

“ผมคิดว่าสกุลเงินคริปโตจะยังคงอยู่ต่อไป ผมคิดว่ามันเป็นสินทรัพย์ที่คงทน โดยบิตคอยน์เป็นเครื่องมือที่คงทนซึ่งจะสามารถขึ้นมาแทนที่ทอง เพราะบิตคอยน์สามารถทำหน้าที่ได้มากกว่าทอง” นายไรเดอร์กล่าว