‘KTAM’ ขายทริกเกอร์ลงทุน’เมกะเทรนด์’ เป้า 7% ใน 7 เดือน

‘KTAM’ ขายทริกเกอร์ลงทุน’เมกะเทรนด์’ เป้า 7% ใน 7 เดือน

บลจ.กรุงไทย ประเดิมศักราชใหม่ เปิดขายกองทุนทริกเกอร์มุ่งลงทุน’เมกะเทรนด์’ เป้าหมายผลตอบแทน 7% ภายใน 7 เดือน

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า KTAM เตรียมต้อนรับปีใหม่ด้วยการเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเคแทม ธีมเมติก ทริกเกอร์ ฟันด์2 (KT-TMT2) ระหว่างวันนี้ ถึง 14 มกราคม 2564

โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ อาทิ หน่วย CIS และ/ หรือ กองทุนรวมอีทีเอฟ และ/หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และ/หรือทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และ/หรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (กองทุนปลายทาง) ตั้งแต่ 2 กองทุนขึ้นไป

การลงทุนในกองทุนปลายทางดังกล่าวมีนโยบายลงทุนทั้งในตราสารแห่งทุน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ทรัพย์สินทางเลือก และ/หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นใดตามที่กฎหมาย ก.ล.ต. กำหนด และกองทุนนี้จะพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนได้ตั้งแต่ร้อยละ 0 ถึงร้อยละ 100 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ซึ่งสัดส่วนการลงทุนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน และกองทุนจะมีการลงทุนที่ส่งผลให้มี Net Exposure ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่างประเทศโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

อาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน และหรือการบริหารความเสี่ยงรวมทั้งกองทุนอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

นางชวินดา ยังกล่าวเสริมว่า กองทุนนี้มีความน่าสนใจตรงที่มีการบริหารแบบยืดหยุ่นและกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบกำหนดธีมการลงทุน Thematic Investment ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งจะวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก หรือ Mega Trends เพื่อค้นหากลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จาก Mega Trends เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการลงทุนที่ 7%ในระยะเวลา 7 เดือน

รวมถึง มุ่งเน้นกลุ่มหุ้นวัฎจักรที่เคลื่อนไหวตามแนวโน้มของภาวะโดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม และตัวชี้วัดภาพรวมของเศรษฐกิจได้ดี เช่น ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ที่ราคาขยับขึ้นต่ำกว่าดัชนีตลาด (Laggard) จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนในการลงทุนระยะสั้นจากการจับจังหวะตลาด (Market Timing)

นอกจากนี้ ยังรับประโยชน์จากแนวโน้มการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ทั้งจากความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 และจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จึงทำให้ธีม Post Covid-19 Recovery ซึ่งหมายถึง กลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ Covid-19 เช่น หุ้นกลุ่มการเงิน กลุ่มพลังงาน ค้าปลีก กลุ่มโรงแรม เป็นต้น และ ธีม US Recovery ซึ่งหมายถึง หุ้นในตลาดสหรัฐฯ กลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัว เช่น ห้างค้าปลีกในสหรัฐฯ มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท