รู้จัก 'ARK' ทำไมถึงเป็น 'ตราสารอีทีเอฟ' แห่งปี 2563

รู้จัก 'ARK' ทำไมถึงเป็น 'ตราสารอีทีเอฟ' แห่งปี 2563

ทำความรู้จัก "ARK" ตราสารอีทีเอฟที่ปี 2563 มีกระแสเงินทุนหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก และทำให้หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐที่ร้อนแรงสุดๆ พร้อมบทวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน ของแนวคิดการลงทุนเชิงนวัตกรรมของ ARK

[บทความตราสารอีทีเอฟแห่งปี 2563: ARK ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ มุมคิดธนกิจ ฉบับวันที่ 1 มกราคม 2564]

ในปี 2563 หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐที่ร้อนแรงสุดๆ ได้สร้างแบรนด์ของตราสารอีทีเอฟที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งอนาคต ที่ชื่อว่า ARK Investment ให้ทุกคนในวงการได้พูดถึงแบบมากมาย

ตราสารอีทีเอฟทุกตัวของ ARK ในปี 2563 มีอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำมากกว่า 1 เท่าตัวต่อปี จึงไม่น่าแปลกใจที่กระแสเงินลงทุนจึงไหลเข้ามาสู่ ARK ในปีนี้มากเป็นอันดับ 3 รองจาก Blackrock และ Vanguard เพียงเท่านั้น

บทความนี้จะขอพูดถึงจุดเด่นของ ARK และแน่นอนว่าจะขอพูดถึงจุดอ่อนสำหรับธีมการลงทุนที่เน้นแนวคิดเชิงนวัตกรรมของ ARK ในมุมมองของผม

ผมมองว่าจุดแข็งที่ ARK สามารถฉีกออกจากคู่แข่งที่เน้นการลงทุนในธีมคล้ายคลึงกัน ได้แก่การที่ ARK ถือว่ามีการนำเสนอธีมการลงทุนตามแนวทางของเทคโนโลยีได้ทั้งกว้างและลึกไปพร้อมๆ กัน ซึ่งบริษัทการลงทุนแนวเดียวกันเจ้าอื่น มักจะมีแต่เน้นความลึกมากกว่าความกว้าง

ARK มองว่าเทคโนโลยีในไลน์ใหม่ที่จะมีอิทธิพลแบบรุนแรงเพียงพอเหมือนกับในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งหมายถึงการมาถึงของโทรศัพท์ ยานยนต์ และไฟฟ้า ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันได้ทำให้ระดับผลิตภาพของโลกในตอนนั้นสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ในขณะที่ต้นทุนของการผลิตลดลงอย่างรวดเร็ว จนส่งผลให้อุปสงค์ของสินค้าเพิ่มขึ้นแบบล้นทะลักครอบคลุมทุกรายอุตสาหกรรม 

ARK ให้เกณฑ์ 3 ข้อในการที่จะตัดสินว่าเทคโนโลยีใดในขณะนี้จะมีโอกาสก้าวมาเป็นจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต ดังนี้

1.ต้องสามารถทำให้ต้นทุนลดลงแบบเยอะๆ เพื่อที่จะทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นและส่งต่อกันในอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นแบบระลอกคลื่น โดยเมื่อเทคโนโลยีได้ก้าวกระโดดผ่านจุดจุดหนึ่ง ตลาดของสินค้าและบริการที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวก็จะเติบโตทั้งแนวกว้างและหลากหลายชนิดเป็นอย่างมาก โดย ARK ได้ใช้กฎของ Wright ที่ระบุว่ายิ่งสินค้าผลิตเยอะ ต้นทุนก็จะถูกลงอย่างรวดเร็วในการทำความเข้าใจขอบเขตของเทคโนโลยีที่เป็นจุดกำเนิดของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

2.เทคโนโลยีต้องสามารถตัดข้ามรายอุตสาหกรรมต่างๆ ในระดับที่มีนัยต่อเศรษฐกิจ จะทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ของลูกค้าหลายส่วนเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยงที่มีต่อความเสี่ยงด้านวัฏจักรธุรกิจ

3.ต้องสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนแพลตฟอร์มเพื่อเสริมสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อีกมากมาย แพลตฟอร์มนี้จะส่งผลให้เกิดกรณีศึกษาที่จะนำไปใช้งานได้อีกมากอย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง โดยความสำคัญของแพลตฟอร์มักจะถูกตลาดประเมินค่าต่ำเกินไป แพลตฟอร์มที่ดีนั้นจะส่งผลทำให้ได้สินค้าและบริการใหม่ๆ อย่างที่ไม่เคยมีใครคาดมาก่อน

นอกจากนี้มี 4 เทคโนโลยีใหม่ที่ ARK มองว่าเข้าข่ายเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกตามเกณฑ์ดังกล่าว คือ 1.ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายแบบ Neural อุปกรณ์พกพาที่ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ระบบคอมพิวเตอร์แบบคลาวด์ การสตรีมมิง และ Internet of Things โดยที่ระบบการเรียนแบบ AI จะสามารถเปลี่ยนไม่เพียงแต่ธุรกิจค้าปลีก สื่อและโทรคมนาคม ยังรวมถึงอุตสาหกรรม สาธารณสุข และการบริการการเงิน ที่ในอดีตไม่โดนผลกระทบเชิงลบจากเทคโนโลยีใหม่ๆ

2.การเก็บพลังงาน (Energy Storage) การลดลงของต้นทุนผลิตแบตเตอรี่จะสามารถสร้างอุปสงค์ใหม่ๆ ของพลังงานไฟฟ้า รวมถึงการทดแทนเชื้อเพลิงแบบฟอสซิล ด้วยการลดอัตราการไม่ทำงานของระบบไฟฟ้าแบบเครือข่าย รวมถึงลดต้นทุนด้านปฏิบัติการ ลดการใช้อุปกรณ์การส่งและกระจายไฟฟ้าให้น้อยลง เทคโนโลยีนี้ประกอบด้วย ระบบแบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า และยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเอง

3.หุ่นยนต์ (Robotics) ความก้าวหน้าของซอฟต์แวร์และตัวตรวจจับหรือที่เรียกกันว่า “เซนเซอร์” จะทำให้หุ่นยนต์สามารถทำงานได้ในทุกสภาวะแวดล้อม โดยต้นทุนต่อหน่วยจะลดลงมากกว่าร้อยละ 50 ในขณะที่ความสามารถในการทำงานก็จะเพิ่มขึ้น โดยหุ่นยนต์สามารถที่จะเปลี่ยนธุรกิจที่เน้นพึ่งพาระบบทางกายภาพและกระบวนการได้ดีเป็นอย่างมาก เทคโนโลยีนี้ประกอบด้วยหุ่นยนต์แบบ Adaptive ระบบการพิมพ์แบบ 3 มิติ โดรนและจรวดที่นำกลับมาใช้งานซ้ำได้

ท้ายสุด การเรียงลำดับของดีเอ็นเอ จากการที่ต้นทุนของระบบเทคโนโลยีด้านยีนของมนุษย์ลดลงอย่างรวดเร็ว การเรียงลำดับดีเอ็นเอ (DNA Sequencing) ที่ครั้งหนึ่งเคยจำกัดเฉพาะในห้องปฏิบัติการ ก็สามารถนำมาใช้จริงในคลินิกและโรงพยาบาล ส่งผลให้ปริมาณการใช้งานเทคโนโลยีนี้ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยเท่า ทำให้ระบบสาธารณสุขเปลี่ยนโฉมไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีนี้ประกอบด้วยเทคโนโลยีเรียงลำดับดีเอ็นเอ การตัดต่อยีน และการรักษาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

อย่างไรก็ดี จุดอ่อนของกองทุนที่เน้นเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง ARK ผมมองว่ามีอยู่ 4 ประการ ได้แก่

1.หุ้นเทคโนโลยีในช่วงที่ตลาดหุ้นขาลงจะลงแรงกว่าเพื่อน ซึ่งในจังหวะนั้น ARK ก็ยากจะหนีความจริงนี้พ้น

2.ปัจจัย "ด้านการเมือง" ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยที่ใช้พิจารณาในกรอบการวิเคราะห์ของ ARK น่าจะทำให้การวิเคราะห์ไม่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมวดการลงทุนสกุลเงิน cryptocurrency

3.อุตสาหกรรมที่ ARK เลือกว่าจะเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต มีอยู่กว่า 20 อุตสาหกรรมซึ่งต้องมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ในแต่ละอุตสาหกรรม คำถามคือ ARK ไม่ได้ช่วยเลือกว่าจะตัดอุตสาหกรรมใดออกจากความสนใจของตนเอง

4.ช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำอย่างปี 2563 ไม่แปลกที่หุ้นเทคโนโลยีแบบใหม่ๆ จะได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำ ทว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า หากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นจะส่งผลต่อ ARK อย่างไร ที่สำคัญผมยังไม่แน่ใจว่าหุ้นเทคโนโลยีในอนาคตจะยังสามารถทำผลประกอบการที่ดีเหมือนในช่วงโควิดที่มีธีม Work from Home เป็นตัวช่วยได้หรือไม่

นอกจากนี้ แม้ว่า ARK จะบอกว่าตนเองเป็นบริษัทด้านการลงทุนที่มีการทำงานโดยใช้ทีมเวิร์คสไตล์แบบธีมเพื่ออนาคต ทว่าก็มี แคเธอลีน วู้ดส์ เบอร์ 1 ของ ARK ที่มีบทบาทในการเลือกหุ้น ซึ่ง ณ ตอนนี้มีหุ้นทั้งหมดไม่ถึง 50 ตัวอยู่ในพอร์ตลงทุนของ ARK นั้น ทำให้เธอได้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในวงการการลงทุนในปี 2563 ไปแล้ว

อย่างไรก็ดี ตลอด 30 ปีที่ผ่านมาอาจจะยกเว้น ปีเตอร์ ลินช์ เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งก็ได้อำลาวงการไปแล้ว แทบไม่มีใครที่สามารถเลือกหุ้นได้ชนะตลาดได้เป็นเวลามากกว่า 10 ปีติดต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กูรูนักเลือกหุ้นไม่ว่าจะเก่งขนาดไหน แม้กระทั่ง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ไม่สามารถที่จะชนะตลาดได้แบบต่อเนื่องดังเช่นในอดีต