‘เอสเคอี’เล็งซื้อกิจการพลังงานสะอาดปีหน้า

‘เอสเคอี’เล็งซื้อกิจการพลังงานสะอาดปีหน้า

“เอสเคอี” เผย ปีหน้ามีแผนซื้อกิจการ “ธุรกิจสิ่งแวดล้อม-พลังงานสะอาด” พร้อมศึกษาลงทุนธุรกิจใหม่ หนุนสร้างการเติบโตรายได้และกำไรต่อเนื่องจากปีนี้ พร้อมปรับแผนขนส่งมากขึ้น หลังความต้องการใช้กลุ่มอุตสาหกรรมลดลง

นายจักรพงส์ สุเมธโชติเมธา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สากลเอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ SKE เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทมีแผนซื้อและควบรวมกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นเทรนด์ธุรกิจที่อยู่ในกระแสและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอีกหลายปี จะทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาขยายธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ ซึ่งปัจจุบัน ไม่ต่ำกว่า 10 โครงการ แต่จะต้องขึ้นกับการพิจารณาอนุมัติของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยบางโครงการยังต้องศึกษาเพิ่มเติมและยังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงอย่างความรอบคอบและสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สำหรับแหล่งเงินทุนนั้น บริษัทยังมีกระแสเงินสดเพียงพอในการลงทุน ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน และอาจพิจารณาการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนท์) ซึ่งจะคำนึงถึงประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้นเป็นหลัก

นายจักรพงส์ กล่าวว่า ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) ปีหน้าบริษัทจะปรับแผนหันมาผลิตและจำหน่ายให้กับรถขนส่งและอุตสาหกรรมที่ต้องการทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลแทนในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีความต้องการลดลง โดยขณะนี้ได้มีการเจรจากับคู่ค้าแล้ว ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถขายได้ครบตามกำลังการผลิตและพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรได้

นายจักรพงส์ กล่าวว่า แนวโน้มรายได้และกำไรสุทธิปีหน้าคาดจะปรับตัวดีขึ้น จากปี 2563 ที่ทำได้ตามที่บริษัทเป้าหมายที่วางไว้ โดยในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 คาดว่าจะยังทรงตัวในระดับเดียวกับไตรมาส 3 ได้ แม้ว่าการใช้งานก๊าซไบโอมีเทนอัดหรือเอ็นจีวีในภาพรวมอุตสาหกรรมปีนี้จะลดลงระดับ 20% ตามภาพรวมกำลังถดถอยลงอย่างช้าๆตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและราคาน้ำมันโลกลดลง แต่ปัจจุบันบริษัทยังลดลงเพียง 10% น้อยกว่าภาพรวมลดลง 25% เพราะ บริษัทมีการควบคุมต้นทุนที่ดีต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังคงตั้งเป้าแผนการเติบโตกำลังผลิตไฟฟ้าระดับ 30 เมกะวัตต์ในปี 2565 และหาการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่

สำหรับการดำเนินธุรกิจปีหน้าถือว่ายังเป็นปีที่ท้าทาย แต่จากที่บริษัท มีสัญญาระยะยาวในการทำธุรกิจกับคู่ค้าที่แข็งแกร่ง ดังนั้นไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเลวร้ายแค่ไหน ยังเชื่อมั่นว่าสามารถประคองธุรกิจให้มั่นคงและอยู่รอดได้ แม้ว่าไตรมาส 4 โควิด-19 จะกลับมาระบาดใหม่ แต่เชื่อว่าจะคุมการแพร่ระบาดได้ดี

"จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยได้รับผลกระทบโดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจสายการบิน รวมถึงธุรกิจค้าปลีกและศูนย์การค้า ซึ่งบริษัทได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากผ่านมาบริษัทมีความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ดีบริษัทพยายามที่จะกระจายความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น โดยคำนึงถึงสถานการณ์โควิด-19 และสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันมาเป็นปัจจัยในการประเมินโอกาสที่จะเข้าลงทุนธุรกิจพลังงานด้านอื่นๆ ในอนาคต”