ธุรกิจผวาโควิดระลอก 2 ปิดโรงงาน-ฉุดรายได้ท้ายปี

ธุรกิจผวาโควิดระลอก 2  ปิดโรงงาน-ฉุดรายได้ท้ายปี

การแพร่ระบาดโควิด-19 จากตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร  ได้สร้างความตื่นตะหนกในไทยเพราะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและขยายวงกว้าง  เนื่องจาผู้ติดเชื้อมาจากแรงงานต่างด้าวซึ่งกระจุกตัวอยู่รวมกัน  จนทำให้มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อทะลุ 800 ราย (21ธ.ค.) 

การแพร่ระบาดโควิด-19 จากตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร  ได้สร้างความตื่นตะหนกในไทยเพราะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและขยายวงกว้าง  เนื่องจาผู้ติดเชื้อมาจากแรงงานต่างด้าวซึ่งกระจุกตัวอยู่รวมกัน  จนทำให้มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อทะลุ 800 ราย (21ธ.ค.)   เป็นที่มาต้องออกมาตรการล็อกดาวน์จังหวัดสมุทรสาคร 14 วัน (19ธ.ค. 2563- 3 ม.ค. 2564)

ประเด็นดังกล่าวเริ่มมีความวิตกมากขึ้นหากผู้ติดเชื้อขยายลุกลาม  ด้วยปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อจากสมุทรสาคร - นครปฐม –สมุทรปราการ- และล่าสุด สระบุรี  และหากควบคุมไม่อยู่การแพร่เชื้อระบาดหนักและลุกลามไปในกรุงเทพ   จนมีการล็อกดาวน์อีกรอบจะกลายเป็นฝันร้ายสำหรับภาคธุรกิจและตลาดหุ้นไทยทันที

ทั้งนี้มาตรการเบื้องต้นที่มีการนำมาใช้เพื่อกักการแพร่เชื้อในสมุทรสาคร   ประกอบไปล็อกดาวน์ 14 วันพื้นที่ควบคุมโรคเด็ดขาด (ปิดตลาดกลางกุ้งและหอพัก) และพื้นที่สาธารณะทั่วไปใน จ.สมุทรสาคร เช่น สนามกีฬา สนามมวย โรงเรียน สถานที่รับเลี้ยงเด็ก ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์

ส่วนร้านอาหาร/เครื่องดื่ม ให้เปิดเฉพาะซื้อกลับบ้าน (take away) ยกเว้นร้านในโรงพยาบาล   ร้านสะดวกซื้อ กำหนดเวลาปิด 22.00  05.00 น. และไม่ให้แออัด  หากเป็นตลาดนัด ตลาดสด ขายแค่เพียง  6 ชั่วโมง  และประชาชนงดออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 22.00  05.00 น.

หลังจากประกาศออกมาขณะที่ธนาคารพาณิชย์ และธนาคารรัฐ ได้แจ้งปิดสาขาในห้างสรรพสินค้า และพื้นที่ใกล้เคียง จ.สมุทรสาคร ทันที เช่นเดียวกันกับ  ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา มหาชัย ประกาศปิดชั่วคราว 14 วันเช่นกัน

เบื้องต้น บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคทีบี (ประเทศไทย) คาดผลจากการ ล็อกดาวน์ดังกล่าวเป็นลบต่อตลาดหุ้นไทย  ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่การแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ไปยังจังหวัดอื่น โดยเฉพาะกรุงเทพฯ  คาดว่าจะส่งผลลบเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทย

โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบมากสุด ได้แก่ DOHOME, CPN, EKH, TU, ASIAN ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะได้อานิสงส์บวก ได้แก่ JWD, MEGA

ด้าน บล.บัวหลวง  ได้รายงานหุ้นกระทบเชิงลบจากโควิด-19 ระบาดรอบใหม่  จากราคากุ้งขาวราคาตกทันทีไม่น้อยกว่า 20 บาทต่อกิโลกรัม หรือประมาณ  4-85 % กระทบ  CPF   ส่วน TU มีโรงงานผลิตกุ้ง 200 ตัน ต่อวันจาก 2โรงงานในพื้นที่ระบาด  ซึ่งปัจจุบันมีรายงานพบผู้ติดเชื้อ 1 ราย และยังไม่ปิดโรงงานที่มีอยู่ 2 แห่ง  ด้านธุรกิจห้องเย็น ASIAN JWD กระทบการดำเนินงานโรงงานที่อยู่ในพื้นที่ระบาด จ.สมุทรสาคร

หุ้นที่เล่นดีโดยพิสูจน์จากช่วงที่มีการระบาดรอบแรก และธุรกิจตอบโจทย์กับภาวะ ล็อกดาวน์ ได้แก่ SCGP EPG UTP STGT และหุ้นอานิสงส์ Work from home  (เพราะหลายบริษัทเริ่มใช้มาตรการ WFH) COM7 JMART SYNEX SIS DELTA กลุ่มทีวี BEC RS  จากการช้อปออนไลน์  และ ขายประกันโควิด-19 TQM และ FSMART  จากตู้บุญเติมสามารถขายประกันโควิด-19  

อย่างไรก็ตามหากวิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในการระบาดรอบแรก ช่วงไตรมาส 2 ปี2563 และมีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ    กลายเป็นกลุ่มหรือบริษัท ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาด (resillient) ได้แก่ กลุ่มอาหารประเภทเครื่องดื่ม เน้น CBG NRF

กลุ่มหรือบริษัท ที่ได้รับผลกระทบด้านลบ-แย่กว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มค้าปลีกโดยรวม CPN, CRC, CPALL, MAKRO, BJC, HMPRO ทั้งนี้มีเพียง GLOBAL และ TOA ที่จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า

ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านลบโดยตรงได้แก่ โรงพยาบาล EKH และ M-CHAI เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ล็อกดาวน์      และกลุ่มหรือบริษัทที่ได้รับผลกระทบจาภาวะการลงทุนมากแต่พื้นฐานไม่มาก ได้แก่ โรงพยาบาล และท่องเที่ยวเนื่องจากปัจจุบันมีการปิดเมืองไม่รับอุปสงค์ต่างชาติอยู่แล้ว ทั้งนี้อาจมี BCH ที่ได้รับประโยชน์ระยะสั้นจากการตรวจโควิด-19 เพิ่มในระยะสั้น.

อย่างไรก็ตามการระบาดครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งก่อน (เมื่อล็อคดาวน์ ไตรมาส2) เพราะเป็นการติดเชื้อ ในกลุ่มแรงงาน แม้จะยังไม่ติดในแคมป์ก่อสร้าง แต่มาตรการเข้มงวดด้านแรงงานมาแน่

ดังนั้นปัญหาด้านขาดแคลนแรงงานที่มีอยู่แล้ว คาดมีมากกว่าเดิม โดยเฉพาะตัวเล็กอย่าง SEAFCO และ PYLON ที่นักลงทุนจับตาดูกำไรรายไตรมาส มากกว่าแนวโน้มการประมูลโครงการขนาดใหญ่