โบรกชี้เป้าดัชนีสิ้นปี1,500จุด แรงหนุนฟันด์โฟลว์-มั่นใจไทยไม่ล็อกดาวน์

โบรกชี้เป้าดัชนีสิ้นปี1,500จุด แรงหนุนฟันด์โฟลว์-มั่นใจไทยไม่ล็อกดาวน์

โบรก  คาด ดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีแตะ 1,500จุด แรงหนุนเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง  วานนี้ ซื้อสุทธิอีก 6.6 พันล้านบาท ดันดัชนีพุ่ง  29 จุด มูลค่าการซื้อขาย 1.23 แสนล้านบาท  ด้านตลท.เชื่อฟันด์โฟลว์ไหลเข้าต่อถึงปีหน้า

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้  (8 ธ.ค.)ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง 29.09 จุด หรือ 2.01% ปิดที่ 1,478.92 จุด มูลค่าซื้อขาย 123,462.49 ล้านบาท  นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 6,688.08 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 62.90 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1,558.23 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศขายสุทธิ 5,192.75 ล้านบาท

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์(บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยขึ้นร้อนแรงกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากนักลงทุนมองข้ามการแพร่ระบาดของโควิด-19ระลอก2 บนความคาดหวังเชิงบวกกับการเปิดประเทศในระยะถัดไป โดยรัฐบาลยังยืนยันว่าจะไม่กลับไปล็อกดาวน์เหมือนเดิมแม้จะมีการระบาดระลอก2รวมถึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชีย

 ส่วนแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยวันนี้ (9ธ.ค. )คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ร้อนแรงเท่าวานนี้ เพราะ เข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว โดยประเมินแนวต้านที่ระดับ1,485 จุด และแนวรับที่ระดับ1,460จุด และแนวรับถัดไปที่ระดับ1,470จุด

สำหรับดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้คาดว่าจะแตะ 1,500 จุด ตามกระแสฟันด์โฟลว์ที่ยังไหลเข้าต่อเนื่องในช่วง2สัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ โดยบริษัทยังคงแนะนำซื้อหุ้นขนาดใหญ่ตามกระแสฟันด์โฟลว์ เลือกหุ้นรายตัวที่ราคายังปรับตัวขึ้นไม่มากและมีแนวโน้มเติบโตตามเทรนด์ปัจจัยบวกในปีหน้า เช่น กลุ่มแบงก์ แนะนำ BBL ,KTB กลุ่มปิโตรเคมี แนะนำ PTTGC กลุ่มสื่อสาร แนะนำ ADVANC และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 เช่น SPA

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า  ตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นแรงโดยเฉพาะในกลุ่มแบงก์และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการปรับขึ้นตามกระแสเงินทุนต่างชาติ(ฟันด์โฟลว์)ไหลเข้ามาในตลาดประเทศเกิดใหม่รวมถึงไทย 

 โดยคาดว่า ฟันด์โฟลว์ยังคงไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า เนื่องจากสถานการณ์ที่เป็นปัจจัยที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง(Risk on)เพิ่มมากขึ้น ทั้งเรื่องการพัฒนาวัคซีนโควิด-19มีความคืบหน้าต่อเนื่องในหลายบริษัทที่น่าจะได้ผล และนโยบายของไบเดนที่น่าจะผ่อนปรนมากกว่าทรัมป์ ที่ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย

       

สำหรับปัจจัยในปีหน้ายังต้องติดตามความเสี่ยงและปัจจัยความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นความชัดเจนรายละเอียดนโยบายขอบไบเดนจะผลกระทบอย่างไรในระยะถัดไป และการติดตามความคืบหน้าการของการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 และปัจจัยสำคัญต่อตลาดหุ้นไทย คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนว่าอัตราการทำกำไรต่อหุ้น (Earning) ยังปรับตัวขึ้นได้ต่อหรือไม่ และหนุนอัพไซด์ต่อหรือไม่  โดยปีนี้คาดว่าการระดมทุนของหุ้นIPOและบริษัทที่จดทะเบียนแล้ว มีการระดมทุน รวม 6 แสนล้านบาท

       ในส่วนของการแพร่ระบาดของโควิด-19ในประเทศช่วงนี้ ประเมินว่า ยังไม่ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก และยังต้องติดตามผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อในปัจจุบันยังไม่น่าเป็นห่วง 

      "ขณะที่ค่าเงินบาทในปัจจุบัน มองว่า ขึ้นกับฟันด์โฟลด์ เป็นหลัก แต่ในแง่ของภาพรวมเศรษฐกิจจริงถูกขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์ในประเทศ จากหลายมาตรการภาครัฐที่ออกมากระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนและธุรกิจต่างๆ จะส่งผลดีต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งแรกของปีหน้า ซึ่งผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนจะสะท้อนในปัจจัยนี้ แต่ระยะถัดไปหากการส่งออกและท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวขึ้น ก็ต้องไปติดตามว่าปัจจัยเหล่านี้จะกระทบกับค่าเงินบาทด้วยหรือไม่”