‘ดาวโจนส์’ทะยาน 423 จุด

‘ดาวโจนส์’ทะยาน 423 จุด

‘ดาวโจนส์’ทะยาน 423 จุด ขณะที่นักลงทุนลุ้นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่3พ.ย.

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันจันทร์(2 พ.ย)พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยทะยานขึ้น 423 จุด ขณะที่นักลงทุนลุ้นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่3พ.ย.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 4-5 พ.ย. หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเพียงวันเดียว และการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 423.45 จุด หรือ 1.60% ปิดที่ 26,925.05 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 40.28 จุด หรือ 1.23% ปิดที่ 3,310.24 จุด และดัชนีแนสแด็กเพิ่มขึ้น 46.02 จุด หรือ 0.42% ปิดที่ 10,957.61 จุด

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับเวลาซื้อ-ขายหุ้นในตลาด เริ่มต้นจากวันนี้ โดยปรับเวลาช้าลง 1 ชั่วโมง หลังจากสิ้นสุดช่วง Daylight Saving Time

ทั้งนี้ ตลาดเปลี่ยนแปลงเวลาซื้อขาย จากเดิม 20:30-03:05 น. ตามเวลาไทย เป็น 21:30-04:05 น.ตามเวลาไทย

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 4.6% ในเดือนต.ค. ทำสถิติทรุดตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.

ส่วนดัชนีความผันผวน CBOE หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาด พุ่งขึ้นแตะระดับ 41.2 จุดเมื่อวันศุกร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.

นักลงทุนจับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันพรุ่งนี้ โดยแม้ผลการสำรวจของทุกสำนักต่างระบุตรงกันว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะพ่ายแพ้ต่อนายโจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่คะแนนเสียงจากผู้ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ และคะแนนเสียงจากหลายรัฐที่ไม่ใช่ฐานเสียงของทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน อาจเป็นปัจจัยชี้ขาดผลการเลือกตั้งครั้งนี้

ในวันที่3พ.ย. นอกจากชาวสหรัฐที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว พวกเขายังจะทำการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสภาจำนวน 435 คน และเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 1 ใน 3 ของทั้งหมด หรือจำนวน 33 คน จากทั้งหมด 100 คน โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะมีขึ้นทุก 4 ปี และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะมีขึ้นทุก 2 ปี

ขณะเดียวกัน ชาวสหรัฐยังออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนหลายพันคนทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงผู้ว่าการรัฐ และผู้พิพากษา ส่งผลให้การเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้ ถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญต่อทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน เนื่องจากมีผลต่อชัยชนะของพรรคในการเข้าครอบครองทำเนียบขาวและสภาคองเกรส

นอกจากนี้ บางรัฐอาจพ่วงการทำประชามติในประเด็นต่างๆที่กำลังเป็นที่สนใจภายในรัฐให้ประชาชนลงคะแนนเสียงในวันพรุ่งนี้เช่นเดียวกัน เช่น การควบคุมอาวุธปืน หรือสิทธิของกลุ่มรักร่วมเพศ